หน้าเว็บ

แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ บุคคลสำคัญ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ บุคคลสำคัญ แสดงบทความทั้งหมด

วันอาทิตย์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

จางเหิง (Zhang Heng) นักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่คนแรกของจีน

 

จางเหิง (Zhang Heng) นักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่คนแรกของจีน 


จางเหิง 張衡 (78-139)


เป็นชาวเมืองซีเอ๋อ จังหวัดหนานหยาง (ปัจจุบันอยู่ทางใต้ของเขตหนานจ้าว เมืองหนานหยาง มณฑลเหอหนาน)


เป็นนักปราชญ์และนักวิทยาศาสตร์ชาวจีนในสมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันออก เขามีความสามารถหลากหลาย


ทั้งด้านดาราศาสตร์ คณิตศาสตร์ และภูมิศาสตร์. ผู้ทำหน้าที่ดูแลพระราชวัง และเสนาบดี


และรถม้าเข็มทิศที่สามารถตรวจจับทิศทางของแผ่นดินไหว ค้นพบสาเหตุของสุริยุปราคาและจันทรุปราคา


หนึ่งในผลงานที่โดดเด่นของเขาคือ เครื่องวัดแรงสั่นสะเทือน (ตี้ตงอี - Earth Motion Instrument) 


ซึ่งถือเป็นเครื่องมือวัดแผ่นดินไหวชิ้นแรกของโลก. นอกจากนี้ เขายังมีบทบาทสำคัญในการศึกษาดาราศาสตร์ 


โดยเขาได้สร้างแผนที่ท้องฟ้าและบันทึกดาวกว่า 2,500 ดวงใน 124 กลุ่มดาว


จางเหิงยังมีแนวคิดเกี่ยวกับโครงสร้างจักรวาล โดยเขาเปรียบเทียบว่า 


"ท้องฟ้าเหมือนไข่ไก่ โลกเหมือนไข่แดงที่อยู่ตรงกลาง" ซึ่งเป็นแนวคิดที่ล้ำหน้ามากในยุคนั้น.


เครื่องวัดแรงสั่นสะเทือน (Seismoscope) – เป็นหนึ่งในอุปกรณ์แรก ๆ ที่ใช้ตรวจจับแผ่นดินไหว 


ซึ่งถือเป็นนวัตกรรมที่ล้ำหน้ามากในยุคนั้น.


แผนที่ท้องฟ้าและการศึกษาดาราศาสตร์ – เขาได้สร้างแผนที่ท้องฟ้าและบันทึกตำแหน่ง


ดาวกว่า 2,500 ดวง ซึ่งช่วยพัฒนาความเข้าใจเกี่ยวกับจักรวาล.


แนวคิดเกี่ยวกับโครงสร้างจักรวาล – เขาเสนอแนวคิดว่า "ท้องฟ้าเหมือนไข่ไก่ โลกเหมือนไข่แดง


ที่อยู่ตรงกลาง" ซึ่งเป็นแนวคิดที่ล้ำหน้าสำหรับยุคนั้น.



จางเหิงเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่มีอิทธิพลต่อวงการดาราศาสตร์และเทคโนโลยีของจีนในยุคโบราณ


สร้างผลงานบทกวีและร้อยแก้ว เช่น “ฝู่สองเมืองหลวง” และ “ฝู่เมื่อกลับถึงบ้านชนบท” 


ซึ่งขยายรูปแบบและเนื้อหาของบทกวีและร้อยแก้วของราชวงศ์ฮั่น และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็น 


“หนึ่งในสี่กวีผู้ยิ่งใหญ่แห่งราชวงศ์ฮั่น” เขาสร้างสรรค์บทกวีโบราณเจ็ดตัวอักษรและมีส่วนสนับสนุน


วัฒนธรรมจีนอย่างมาก


จางเหิงถูกยกย่องให้เป็นหนึ่งใน “สี่นักเขียนผู้ยิ่งใหญ่แห่งราชวงศ์ฮั่น”


ได้รับการยกย่องว่าเป็นนักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์จีนในสมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันออก


ชาวเมืองหนานหยางได้สร้างวัดให้กับเขา 


นักวิชาการบางคนคาดเดาว่าหลักการของเครื่องวัดแผ่นดินไหวอาจได้รับการถ่ายทอดไปยังเปอร์เซีย


และญี่ปุ่นในสมัยโบราณ


ในปีพ.ศ. 2467 จางหยินหลินเป็นคนแรกที่ยกย่องจางเหิงว่าเป็น “นักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่คนแรก” ของจีน 


นักวิชาการชาวจีนสมัยใหม่ส่วนใหญ่ยังเรียกจางเหิงว่าเป็นนักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่อีกด้วย


นักวิชาการเชื่อว่าจางเหิงสามารถเทียบได้กับปโตเลมี


เพื่อเป็นการรำลึกถึงจางเหิง ชุมชนดาราศาสตร์นานาชาติจึงได้ตั้งชื่อหลุมอุกกาบาตบนด้านไกล


ของดวงจันทร์ตามชื่อเขาในปี พ.ศ. 2513


ในปีพ.ศ.2514 ดาวเคราะห์น้อย 1802 ได้รับการตั้งชื่อตามเขา 


สมาคมดาราศาสตร์จีนก่อตั้ง "รางวัลผู้มีส่วนสนับสนุนพิเศษจางเหิง" ซึ่งมอบครั้งแรกในปี พ.ศ. 2545


พ.ศ. 2546 ดาวเคราะห์น้อย 9092 ได้รับการตั้งชื่อตามบ้านเกิดของจางเหิงในเมืองหนานหยาง


แร่โลหะผสมทองแดง-สังกะสีตามธรรมชาติยังได้รับการตั้งชื่อตามจางเฮง ซึ่งก็คือเหมืองจางเฮง


ถนนที่ตั้งชื่อตามจางเหิง ซึ่งก็คือ “ถนนจางเหิง” ในเมืองเซินเจิ้น กวางตุ้ง และเขตผู่ตงใหม่ เซี่ยงไฮ้


จางเหิง ได้รับการยกย่องอย่างสูงในฐานะนักวิทยาศาสตร์และนักดาราศาสตร์ผู้บุกเบิกของจีน 


เขาเป็นบุคคลสำคัญที่มีอิทธิพลต่อวงการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในยุคราชวงศ์ฮั่นตะวันออก 


ผลงานของเขา เช่น เครื่องวัดแรงสั่นสะเทือน และ แผนที่ท้องฟ้า ได้รับการยอมรับว่าเป็นนวัตกรรมที่ล้ำหน้าสำหรับยุคนั้น


เขายังเป็นนักปรัชญาและนักคณิตศาสตร์ที่มีความสามารถหลากหลาย 


และได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในบุคคลสำคัญของจีนที่นำความรู้มาสู่มนุษยชาติ


ผลงานของเขายังคงมีอิทธิพลต่อการศึกษาด้านดาราศาสตร์และธรณีวิทยาจนถึงปัจจุบัน





วันอาทิตย์ที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2567

หลิวปัง จักรพรรดิแห่งราชวงศ์ฮั่น Liu Bang

 


หลิวปัง จักรพรรดิแห่งราชวงศ์ฮั่น Liu Bang


หลิวปัง จักรพรรดิแห่งราชวงศ์ฮั่น เกิดเมื่อ 256 ปีก่อนคริสตกาล หรือ 247 ปีก่อนคริสตกาล - 1 มิถุนายน 195 ปีก่อนคริสตกาล

มีพระนามจริงว่า จี้ เกิดที่จงหยางลี่ เมืองเป่ยเฟิง (ปัจจุบันคือ เทศมณฑลเฝิง มณฑลเจียงซู สาธารณรัฐประชาชนจีน)

ในช่วงยุคสงครามระหว่างรัฐ เขาเป็นจักรพรรดิผู้ก่อตั้งราชวงศ์ฮั่นและเป็นจักรพรรดิองค์แรก

ที่มีเชื้อสายพลเรือนในประวัติศาสตร์จีน (ภูมิหลังทางครอบครัว)

นักยุทธศาสตร์การทหารและนักการเมืองจากปลายราชวงศ์ฉินและราชวงศ์ฮั่นตอนต้น

เข้าร่วมในปฏิบัติการต่อต้านราชวงศ์ฉินที่นำโดย ฌ้อปาอ๋อง ต่อมาทั้ง2จึงรบกันเพื่อครองแผ่นดิน 

หลังจากการล่มสลายของราชวงศ์ฉิน ซึ่งมีผู้ก่อตั้งแรกเริ่มคือจิ๋นซีฮ่องเต้ เริ่มหลังจากการล่มสลายของราชวงศ์ฉิน

ในสงครามฉู่–ฮั่น รัฐฉู่ตะวันตกมีเซี่ยง อฺวี่ เป็นผู้นำ รัฐฮั่นมีหลิว ปัง  และจบลงด้วยการที่ เซี่ยง อฺวี่ ฆ่าตัวตายริมแม่น้ำอู่เจียง

เป็นสงครามอีกครั้งเพื่อรวมจีนเป็นหนึ่งเดียวหลังจากราชวงศ์ฉินทำลายอาณาจักรทั้งหก

เขาได้สถาปนาตนเองเป็นจักรพรรดิและสถาปนาราชวงศ์ฮั่นขึ้น ราชวงศ์ฮั่นตะวันตก

หลิวปังขึ้นครองราชย์เป็นจักรพรรดิโดยได้รับการสนับสนุนจากราษฎร 

ระองค์ทรงสถาปนาเมืองหลวงในลั่วหยาง (ต่อมาย้ายไปที่ฉางอาน) และแต่งตั้งหลู่จื้อ 

พระชายาอย่างเป็นทางการเป็นจักรพรรดินี และหลิว อิ๋ง (จักรพรรดิฮั่นฮุ่ย) พระราชโอรสเป็นมกุฎราชกุมาร

ในยุคของเขามีการ ลดภาษี ยุบกองทัพและอนุญาตให้ทหารกลับบ้านได้

ประทานอิสรภาพแก่ผู้ที่ขายตัวเป็นทาสเพื่อหลีกเลี่ยงความหิวโหยในช่วงสงคราม

เน้นลัทธิขงจื๊อ ภายใต้รัชสมัยของจักรพรรดิเกาจู ลัทธิขงจื๊อเจริญรุ่งเรือง

ได้แต่งตั้งเจ้าชายและอ๋อง เพื่อช่วยเขาปกครองจักรวรรดิฮั่นและมอบที่ดินให้แต่ละคนปกครอง

มีการประหารข้าราชบริพาร เพราะเป็นกบฏต่อพระองค์อย่าง หาน ซิ่น (ขุนศึกซึ่งรับใช้หลิว ปัง )

และ เผิงเยว่ ขุนพลและขุนนางมีส่วนเกี่ยวข้องกับ สงครามฉู่–ฮั่น  ถูกจับกุมและประหารชีวิตพร้อมครอบครัว

อิงปู้ และ ซังตู่ (Zang Tu) นายพลชาวเหยิน กบฏต่อเขา แต่พ่ายแพ้และถูกสังหาร

มีการรบกับเผ่าซงหนูทางเหนือ เป็นภัยคุกคามมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์ฉิน

ภายหลังมีการ ริเริ่มนโยบายเกี่ยวข้องกับการส่งสตรีผู้สูงศักดิ์ไปแต่งงานกับผู้นำซงหนู 

และจ่ายส่วยประจำปีให้กับซยงหนูเพื่อแลกกับสันติภาพระหว่างจักรวรรดิฮั่นและซยงหนู

จักรพรรดิ ได้รับบาดเจ็บจากลูกธนูหลงทางระหว่างการสงครามกับ อิงปู้

เขาป่วยหนัก ต่อมาอาการของเขาทรุดลงอย่างรวดเร็ว 

ในวันแรกของเดือนที่สี่ (1 มิถุนายน 195 ปีก่อนคริสตกาล) จักรพรรดิสิ้นพระชนม์ในพระราชวัง

เจ้าชายหลิว อิ๋ง ขึ้นครองราชย์เป็นจักรพรรดิ์เสี่ยวฮุยแห่งฮั่น จักรพรรดิฮุยแห่งราชวงศ์ฮั่น











วันพฤหัสบดีที่ 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567

เลฟ ยาชิน Lev Yashin แมงมุมดำแห่งโซเวียต

 



เลฟ ยาชิน Lev Yashin แมงมุมดำแห่งโซเวียต


เลฟ อิวาโนวิช ยาชิน 


Lev Ivanovich Yashin


เกิด 22 ตุลาคม พ.ศ. 2472  (1929 )


เสียชีวิต 20 มีนาคม พ.ศ. 2533 (1990) *ก่อนสหภาพโซเวียตล่มสลาย 1 ปี


เลฟ ยาชิน Lev Yashin



เป็นนักฟุตบอลอาชีพชาวโซเวียต


ได้รับการยกย่องจากหลาย ๆ คนว่าเป็นผู้รักษาประตูที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของโลกฟุตบอล


เป็นบุคคลสำคัญของโลกฟุตบอลทั้งในยุคนั้นและเป็นไอดอลแบบอย่างให้ยุคหลัง


เขามีชื่อเสียงในด้านความเป็นนักกีฬา การตัดสินใจในจุดสำคัญเพื่อป้องกันประตู การยืนตำแหน่ง 

และเซฟปฏิกิริยาการป้องกันลูก


เขายังเป็นรองประธานสหพันธ์ฟุตบอลแห่งสหภาพโซเวียตอีกด้วย


ยาชินปฏิวัติตำแหน่งผู้รักษาประตูในแง่ของเป็นผู้สั่งการในเกมรับ ตะโกนออกคำสั่งใส่กองหลัง 

ออกจากเส้นเพื่อสกัดกั้นลูกครอสวิ่งออกไปเผชิญหน้ากับผู้เล่นฝ่ายรุกที่บุกเข้ามา ซึ่งสมัยนั้น

แปลกใหม่เพราะปกตินายประตูจะอยู่เฝ้าเส้นตลอด90นาที ไม่ได้มีบทบาทแบบที่ยาซินทำมากนัก 


เขาสร้างความประทับใจไม่รู้ลืมแก่ผู้ชมทั่วโลกในฟุตบอลโลกปี 1958 ถือเป็นรายการแรกที่

ออกอากาศในระดับนานาชาติ


เขาแต่งกายตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสีดำ จึงได้รับฉายาว่า "แมงมุมดำ" หรือ "เสือดำ" ซึ่งช่วยเพิ่ม

ความนิยมให้กับเขา


ยาชินปรากฏตัวในฟุตบอลโลก 3 สมัยระหว่างปี 1958 ถึง 1970


ในปี 2002 ได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งในทีมในฝันของ FIFA ในประวัติศาสตร์ฟุตบอลโลก


ปี 1994 เขาได้รับเลือกให้ติดทีมตลอดกาลของฟุตบอลโลก


ปี 1998 ได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งในสมาชิกทีมฟุตบอลโลกแห่งศตวรรษที่ 20


ข้อมูลของ FIFA ยาชินเซฟลูกโทษได้มากกว่า 150 ครั้งในฟุตบอลอาชีพ ซึ่งมากกว่าผู้รักษาประตูคนอื่นๆ


เขายังเก็บคลีนชีตได้มากกว่า 270 คลีนชีตในอาชีพของเขา


คว้าเหรียญทองในการแข่งขันฟุตบอลโอลิมปิกปี 1956 และแชมป์ยุโรปปี 1960


ปี 1963 ยาชินได้รับรางวัลบัลลงดอร์ ซึ่งเป็นผู้รักษาประตูเพียงคนเดียวที่เคยได้รับรางวัลนี้


ได้รับการเสนอชื่อให้ติดบัลลงดอร์ดรีมทีมในปี 2020 ซึ่งเป็น 11 ตัวผู้เล่น ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล


ได้รับการโหวตให้เป็นผู้รักษาประตูที่ดีที่สุดแห่งศตวรรษที่ 20 โดย IFFHS (สหพันธ์ประวัติศาสตร์และ

สถิติฟุตบอลนานาชาติ)


ได้รับการเสนอชื่อให้ติด ดรีมทีม ตลอดกาลของ IFFHS ในปี 2021


ได้รับเลือกจากฟรองซ์ฟุตบอลให้เป็นผู้รักษาประตูที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาลในปี 2020


สหพันธ์ฟุตบอลรัสเซียเลือกให้เป็นผู้เล่นที่โดดเด่นที่สุดในรอบ 50 ปีที่ผ่านมา  Golden Player of Russia


เขาเล่นให้ทีมสโมสร Dynamo Moscow ในปี 1950


เป็นผู้รักษาประตูให้กับทีมฮ็อกกี้น้ำแข็งของไดนาโม และของสหภาพโซเวียต


ตั้งแต่ปี 1950 ถึง 1970 ตลอดอาชีพการค้าแข้งเขาเล่นให้แค่ ดินาโม มอสโควทีมเดียวโดยพาทีม

คว้ารางวัลต่างๆ อย่างคว้าแชมป์ฟุตบอลสหภาพโซเวียต 5 สมัย และโซเวียตคัพ 3 สมัย 




เรื่องของทีมชาติ 


ในปี 1954 ยาชินถูกเรียกติดทีมชาติโซเวียต และติดทีมชาติทั้งหมด 78 นัด กับทีมชาติ


พาทีมชาติคว้าถ้วยรางวัลอย่าง โอลิมปิกฤดูร้อน 1956  แชมป์ยุโรปครั้งแรก 1960


เขายังเล่นฟุตบอลโลก 3 สมัยในปี 1958, 1962 และ 1966


เก็บคลีนชีตได้ 4 นัดจาก 12 เกมที่เขาเล่นในฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย



ในปี 1971 ที่มอสโก เขาลงเล่นนัดสุดท้ายให้กับไดนาโมมอสโกเป็นการแข่งขัน FIFA Testimonial 

ของเลฟ ยาชิน จัดขึ้นที่สนามกีฬาเลนินในมอสโก โดยมีแฟนบอลเข้าร่วม 100,000 คน และมีดารา

ฟุตบอลมากมาย รวมทั้งเปเล่   ยูเซบิโอ และฟรันซ์ เบ็คเค่นบาวเออร์ 


* เกมเทสติโมเนียลแมตช์ เป็นเกมส์ที่จัดขึ้นเพื่อให้เกียรติกับนักเตะที่เล่นให้ทีมมาอย่างยาวนานเป็นตำนานสโมสร



หลังจากเลิกเล่นเขาใช้เวลาเกือบ 20 ปีในตำแหน่งบริหารต่างๆ ที่ Dynamo Moscow เขามีรูปปั้น

ที่สนามของทีมด้วย


ในปี 1986 จากเกิดภาวะลิ่มเลือดอุดตัน (thrombophlebitis) ขณะอยู่ในบูดาเปสต์ ยาชินต้องตัดขาข้างหนึ่งออก


ในปี 1990 เขาเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร เขาได้รับพิธีศพของรัฐในฐานะ

ปรมาจารย์ด้านกีฬาแห่งสหภาพโซเวียต




วันอังคารที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2567

พระเจ้าฟ้ารั่ว Wareru ผู้กอบกู้แห่งมอญ

 


พระเจ้าฟ้ารั่ว Wareru 


พระเจ้าวาริหู หรือ พระเจ้าฟ้ารั่ว 20 มีนาคม ค.ศ. 1253 – ประมาณ 14 มกราคม ค.ศ. 1307


พระเจ้าฟ้ารั่ว Wareru


เป็นปฐมกษัตริย์ในเมืองเมาะตะมะ เป็นผู้ก่อตั้งอาณาจักรเมาตะบัน ซึ่งตั้งอยู่ในประเทศเมียนมาร์ 

(พม่า) ในปัจจุบันประสบความสำเร็จในการสร้างระบบการปกครองที่พูดภาษามอญในพม่าตอนล่าง 

ในช่วงการล่มสลายของจักรวรรดิพุกามในทศวรรษที่ 1280


เป็นสามัญชนได้ยึดตำแหน่งผู้ว่าการเมาตะบัน (โมตมะ) ในปี พ.ศ. 1285


หลังจากได้รับการสนับสนุนจากอาณาจักรสุโขทัยแล้ว เขาก็ประกาศเอกราชจากพุกามในปี พ.ศ. 1287


เขาและพระเจ้าตราพระยาแห่งหงสาวดีซึ่งเป็นพันธมิตรของเขาเอง - ได้รับการสถาปนาเป็นกษัตริย์

แห่งเปกู (พะโค) เอาชนะการรุกรานครั้งใหญ่ของพุกามอย่างเด็ดขาดในปี พ.ศ. 1295–1296 

หลังจากนั้นไม่นาน พระเจ้าฟ้ารั่ว ก็กำจัดพระเจ้าตราพระยาแห่งหงสาวดี และขึ้นเป็นผู้ปกครองแต่เพียง

ผู้เดียวในสามจังหวัดที่พูดภาษามอญ ได้แก่ พะสิม พะโค และเมาะตะมะ


มรดกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพระเจ้าฟ้ารั่ว คือการก่อตั้งกลุ่มการเมืองที่พูดภาษามอญเพียงกลุ่มเดียว

ที่ยังคงหลงเหลืออยู่หลังทศวรรษที่ 1290ช่วยส่งเสริมให้ชาวมอญกลายเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่เชื่อมโยง

กันในศตวรรษที่ 14 และ 15


พระธรรมศาสตร์ฉบับพระเจ้าฟ้ารั่ว เป็นหนึ่งในพระธรรมศาสตร์ (ตำรากฎหมาย) ที่เก่าแก่ที่สุด

ที่ยังหลงเหลืออยู่ของเมียนมาร์ และมีอิทธิพลอย่างมากต่อประมวลกฎหมาย

ของประเทศพม่าและสยามจนถึงศตวรรษที่ 19 เป็นคัมภีร์พระธรรมศาสตร์ของ มอญ เรียกว่า

พระธรรมศาสตร์พระเจ้าฟ้ารั่ว


ส่งคณะทูตไปยังหยวนจีนเพื่อรับการยอมรับโดยตรงจากจักรพรรดิมองโกล นี่เป็นการแสดงท่าทาง

ที่กล้าหาญซึ่งตอนนั้นพระเจ้าฟ้ารั่วอยู่ใต้อิทธิพลของพ่อขุนรามคำแหง ต่ทางหยวนก็ยังยอมรับ

ในฟ้ารั่วอยู่ดีเพราะไม่ต้องหารให้อาณาจักรทางใต้ของพวกชาวไทนั้นมีพวกที่เข้มแข็งขึ้นมาอีก 

เสมือนการรับไว้คานอำนาจกัน 


หลังจากได้รับการยอมรับจากมองโกล พระเจ้าฟ้ารั่ว ก็ขึ้นครองราชย์ต่อไปอีก 8 ปีครึ่ง


จากนั้นในเดือนมกราคม พ.ศ. 1307 กษัตริย์ก็ถูกลอบปลงพระชนม์โดยราชโอรสทั้งสองของพระองค์ 

คือ โอรสทั้งสองของพระเจ้าตะยาพยาแห่งกรุงหงสาวดี


แม้ว่าเขาจะเลี้ยงดูพวกเขามา แต่พวกเด็กๆ ก็ไม่พอใจปู่ของพวกเขาสำหรับการตายของพ่อ


เนื่องจากพระเจ้าฟ้ารั่วสวรรคต ตอนนั้นมีพระชนมายุเพียง 53 พรรษาเท่านั้นโดยไร้รัชทายาททำให้

มะกะตาพระอนุชาได้ขึ้นสืบราชบัลลังก์ต่อมาเป็นพระเจ้ารามประเดิด 


มรดกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพระเจ้าฟ้ารั่วคือการสถาปนาอาณาจักรที่พูดภาษามอญ ซึ่งช่วยให้สามารถ

อนุรักษ์และสืบสานวัฒนธรรมมอญได้


กรุงหงสาวดีก็กลายเป็นระบอบการเมืองเดียวที่พูดภาษามอญที่ยังหลงเหลืออยู่ตั้งแต่คริสต์ทศวรรษ

 1290 เป็นต้นไป อาณาจักรมอญเก่าแก่อย่างทวารวดีและหริปุญชัย (ในประเทศไทยปัจจุบัน) 

ได้รวมเข้าเป็นรัฐใต้อย่างสุโขทัยและล้านนาในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 13 

อาณาจักรของพระเจ้าฟ้ารั่วไม่เพียงแต่จะอยู่รอดเท่านั้น แต่ยังเจริญรุ่งเรืองจนกลายเป็นรัฐที่ร่ำรวย

ขึ้นอีกด้วย 





วันอาทิตย์ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2567

บุคคลสำคัญของจีน China

 


บุคคลสำคัญของจีน


บุคคลสำคัญของจีน China  บุคคลสำคัญของจีน

แต่บางคนนั้นอาจจะถึงขั้นเป็น บุคคลสำคัญของโลก ชาวจีน

ที่สร้างคุณูปการ ไว้แก่โลกก็ว่าได้ 

ต้องแยกระหว่าง บุคคลำสำคัญของโลก ชาวจีน / และบุคคลสำคัญของจีน

แล้วแต่ท่านผู้อ่านจะพิจารณา เราเพียงแค่รวมเหล่าบรรดาบุคคลสำคัญที่เคยลงไว้เป็นชาวจีน 

ไม่ว่าจะเป็นของโลกชาวจีน หรือ ของจีนก็ลงไว้หมดในหน้านี้ 




1. ไซซี : มัจฉาจมวารี ได้รับยกย่องว่าเป็น 1 ใน 4 หญิงงามแห่งแผ่นดินจีน 


2. หวังเจาจวิน : ปักษีตกนภา 1 ใน4 หญิงงามแห่งแผ่นดินจีน ราชวงศ์ฮั่นตะวันตก


3. กิมย้ง Jinyong : นักเขียนนิยายกำลังภายในชื่อดังของจีน 


4. โจวโหยวกวง : ผู้คิดค้นตัวอักษร พินอิน


5. ซูสีไทเฮา : ผู้สำเร็จราชการแผ่นดินแห่งต้าชิง ปกครองประเทศจีนช่วงราชวงศ์ชิง


6. โจวเอินไหล : นายกรัฐมนตรีคนแรกและรัฐบุรุษของจีน


7. ไช่หลุน : ผู้ประดิษฐ์กระดาษและผู้คิดค้นกระบวนการผลิตกระดาษสมัยใหม่


8. กุบไล ข่าน : ผู้ก่อตั้งราชวงศ์หยวนของจีนและจักรพรรดิ์ข่านองค์ที่ห้าของอาณาจักรมองโกล


9. อู๋ เฉิงเอิน : เป็นผู้แต่งเรื่อง Journey to the West ไซอิ๋ว เป็นนิยายคลาสสิกของจีน


10. จิ๋นซีฮ่องเต้ : เป็นจักรพรรดิองค์แรกของจีน


11. เจิ้ง เหอ : แม่ทัพนักเดินเรือผู้ยิ่งใหญ่ของจีน


12. จักรพรรดิหย่งเล่อ : จักรพรรดิองค์ที่สามของราชวงศ์หมิงของจีน  โอรสผู้ก่อตั้งราชวงศ์หมิง


13. เซี่ยงอวี่ ฌ้อปาอ๋อง : ขุนศึกผู้ยิ่งใหญ่ในยุคปลายราชวงศ์ฉิน 


14. ซือหม่าเฉียน : นักประวัติศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ ของจีน


15. หลี่ไป๋ : หนึ่งในกวีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่ง กวีที่สำคัญที่สุดของราชวงศ์ถังและในประวัติศาสตร์จีน


16. ตู้ ฝู่ : กวีประวัติศาสตร์ กวีปราชญ์ นักเขียนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์จีน


17. หลู่ปัน : เทพอารักษ์ประจำอาชีพช่างไม้ ช่างปูน การก่อสร้าง


18. หลิวปัง : จักรพรรดิแห่งราชวงศ์ฮั่น Liu Bang


19. จักรพรรดิเหลียวไท่จู่ : ปฐมจักรพรรดิแห่งราชวงศ์เหลียว


20. จางเหิง (Zhang Heng)  : นักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่คนแรกของจีน 


21.  : 


22.  : 


23.  : 




วันอังคารที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2567

หลู่ปัน เทพแห่งช่างไม้จีน 鲁班 Lu Ban

 


หลู่ปัน เทพแห่งช่างไม้จีน 鲁班

หลู่ปัน เทพแห่งช่างไม้จีน


ผู้ก่อตั้งสถาปัตยกรรมและช่างไม้จีน  บุคคลสำคัญของจีน


เกิด 507 ปีก่อนคริสตกาล เป็นสถาปนิกหรือช่างไม้ระดับปรมาจารย์ วิศวกรโครงสร้าง 


และนักประดิษฐ์ชาวจีนในสมัยราชวงศ์โจว เขาได้รับการเคารพนับถือในฐานะเทพจีน 


เทพอารักษ์ประจำอาชีพช่างไม้ ช่างปูน การก่อสร้าง 


หลู่ปานเกิด ครอบครัวช่างไม้หรือช่างฝีมือ ของราชวงศ์โจว มีนามเดิมว่า “กงซูปัน” เป็นชาวรัฐหลู่


มีตำนานมากมายเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมของเขาใน ก่อสร้างและงานไม้ในประเทศจีน


จึงถือเป็นบรรพบุรุษของช่างฝีมือในรุ่นต่อ ๆ ช่างฝีมือต่างก็คิดว่า หลู่ปัน เป็นครูของพวกเขาด้วย


หลู่ปัน ได้รับการเคารพนับถือในฐานะเทพเจ้าแห่งช่างไม้และช่างก่ออิฐ 


สิ่งประดิษฐ์ของ หลู่ปัน จำนวนมากเป็นตำนานและไม่มีบันทึกทางประวัติศาสตร์ที่เป็นทางการ


ตำนานเล่าว่าเขาประดิษฐ์เครื่องร่อนซึ่งช่วยให้ผู้คนสามารถบินข้ามกำแพงเมืองในอากาศได้


ประดิษฐ์เลื่อยจีน น้ำพุหมึก ตะขอ ไม้บรรทัดโค้ง และบานประตูโบราณที่ใช้สำหรับตกแต่งและเคาะประตู


สร้างบันไดเมฆสูง บันไดเกาหยุน  นกไม้ อุปกรณ์ยกเพื่อช่วยในงานศพ รถม้าและรถม้าที่ทำจากไม้


ทำให้หลู่ปันได้รับการยกย่องว่าเป็นปรมาจารย์ช่างฝีมือ 


หลู่ปันมักถูกอ้างชื่อในการสร้างปละประดิษฐ์ต่างๆ มากมาย แต่ก็ไม่สามารถหาหลักฐานได้ชัด


บางสิ่งก่อสร้างนั้นจากข้อมูลแล้วเป็นการสร้างในยุคหลังและโดยช่างท่านอื่น แต่ก็มักถูกอ้างอิงว่า


เป็นฝีมือหลู่ปัน เช่นกัน เท่าที่ทำความเข้าใจนั้น หลู่ปัน น่าจะถูกจดจำในฐานะตำนานโบราณ เทพเจ้า 


ที่ใช้กราบไหว้ เคารพบูชา เสียมากกว่างานที่เป็นจริง แต่อย่างไรก็ตามอาจจะมีอุปกรณ์งานไม้


บางอย่าง หรือบันได บันไดล้อมแบบถ่วงน้ำหนักเคลื่อนที่ได้ ที่ใช้ปีนกำแพงเมืองรวมถึงตะขอเหล็ก


เกี่ยวที่ใช้ในการสงครามทางเรือ หรือเลื่อย ที่อาจจะเป็นไปได้ที่หลู่ปันเป็นคนสร้าง แต่เรื่องหลายอย่าง


ค่อนข้างเป็นตำนานเยอะเหมือนกัน


แต่ตัวตนจริงนั่นอาจจะเป็นช่างฝีมือดีก็เป็นได้ถึงได้มีชื่อเสียยงจดบันทึกได้รับการยกย่องให้เป็น


เทพแห่งช่างไม้





วันจันทร์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2566

ตู้ ฝู่ กวีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนนึงของจีน Du Fu

 



ตู้ ฝู่ กวีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนนึงของจีน Du Fu 


เป็นกวีและนักการเมืองชาวจีนในสมัยราชวงศ์ถัง ร่วมสมัยกับหลี่ไป๋ ซึ่งเป็นเพื่อนของเขานั่นเอง


ผลงานของเขาก็มีอิทธิพลอย่างมากในวัฒนธรรมวรรณกรรมทั้งจีนและญี่ปุ่น จากงานเขียนบทกวีของเขา 


มีบทกวีประมาณ 1,500 บทได้รับการเก็บรักษาไว้  บุคคลสำคัญของจีน


เขาได้รับการขนานนามจากนักวิจารณ์ชาวจีนว่า "กวีประวัติศาสตร์" และ "กวีปราชญ์" (ปราชญ์แห่งกวี)


ตู้ ฝู่



ในขณะที่ผลงานของเขามากมายทำให้เขาเป็นที่รู้จักของผู้อ่านชาวตะวันตก


 ผลงานชิ้นเอกของเขา ได้แก่ เปย์เจิง ชิวซิ่ง และซันสื่อซันเปี๋ย  


เขากลายเป็นหนึ่งในนักเขียนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์จีน ซึ่งมีอิทธิพลต่อกวีรุ่นต่อ ๆ ไป


ทั้งในจีนและญี่ปุ่น ในโลกตะวันตก ผลงานของเขามีชื่อเสียงในด้านความสมจริงทางสังคม 


ตู้ฝู่และหลี่ไป๋ต่างก็ถูกเรียกว่า "หลี่ตู้ 


เขามีชื่อเสียงในด้านสไตล์ที่เรียบง่ายและเศร้าโศกในบทกวีคลาสสิกของจีน 


บทกวีของเขายังเป็นที่รู้จักในนาม "ประวัติศาสตร์บทกวี" เนื่องจากมีความสำคัญทางสังคมในสมัยนั้น


ตู้ ฝู่ สามารถแต่งบทกวีได้ตั้งแต่อายุ 7 ขวบ


ในเดือนแรกของปีที่สามของปฏิทินต้าหลี่ ตู้ฟู่เสียชีวิตด้วยอาการป่วยในเรือบนแม่น้ำ เสียชีวิต


บนเรือในแม่น้ำแยงซีเมื่ออายุได้ 59 ปี


การเสียชีวิตของตู้ ฝู่ ยังคงเป็นหัวข้อถกเถียงในแวดวงวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญบางคนเชื่อว่า ตู้ ฝู่ 


เสียชีวิตด้วยโรคเบาหวาน และพบหลักฐานในบทกวีของตู้ฟู่ว่า 


"ฉันป่วยมานาน และพลาดราชสำนักมาเป็นเวลานาน ปอดของฉันแห้งและกระหายน้ำ 

และฉันก็เดินเตร่อยู่ในนั้น" เมืองกองซุน"


ตู้ ฝู่ สร้างสรรค์บทกวี 7 พยางค์ (กลอน 7 พยางค์ ) จำนวนมาก ผลงานของเขามีเนื้อหาที่หลากหลาย


 เชี่ยวชาญเทคนิค ให้ความสำคัญกับความแตกต่างด้านจังหวะ 


 (กลอน 7 พยางค์ที่อ้างอิงในซีรีย์จีนชื่อดังอย่าง หาญท้าชะตาฟ้า ปริศนายุทธจักร Joy Of Life )


ที่ว่า 


ภูผากว้างใหญ่สะท้อนเสียงร้องวานร

วิหคฟ้อนเหนือสายธารเชี่ยว

สารทมาเยือนใบไม้ห่อเหี่ยว

ฉางเจียงเทียวน้ำโหมกระหน่ำ

ตร็ดเตร่แดนไกลช่างน่าเศร้า

โรครุมเร้าโถมมาคล้ายตอกย้ำ

ผมขาวโพลนท่วมหัวเพิ่งใจช้ำ

เลิกดื่มด่ำรสสุราก็สายแล้ว


มีจังหวะที่เข้มงวด และขัดเกลาภาษา เป็นผลงานต้นแบบสำหรับทุกวัย สไตล์หลักของกวีนิพนธ์


ของตู้คือความเศร้าโศก ยิ่งใหญ่ และสง่างาม และจินตภาพบทกวีก็สดใสและแข็งแกร่ง


สไตล์มีความหลากหลายและมีสีสัน บ้างก็มีพลังและไม่ถูกจำกัด บ้างก็สดและละเอียดอ่อน 


บ้างก็เศร้าโศก บ้างก็วาทศาสตร์เข้มข้น บ้างก็ธรรมดาและเรียบง่าย บ้างก็เป็นที่นิยมและเป็นธรรมชาติ


ซึมซับเทคนิคทางศิลปะของรุ่นก่อนและพัฒนาสไตล์ใหม่ที่มีเอกลักษณ์ 


ภาษากวีนิพนธ์ของตู้ฟู่โดยทั่วไปถือว่ามีลักษณะของ "ภาวะซึมเศร้า" 


บทกวีทางประวัติศาสตร์ที่ตรงที่สุดของเขาคือการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับยุทธวิธีทางทหาร


หรือความสำเร็จและความล้มเหลวของรัฐบาล หรือบทกวีคำแนะนำที่เขาเขียนถึงจักรพรรดิ


ความคิดเห็นทางการเมืองของ ตู้ ฝู่ ตั้งอยู่บนพื้นฐานของอารมณ์มากกว่าการคำนวณ การแสดงออก


ถึงความจริงอย่างแข็งขันของเขาทำให้เขากลายเป็นบุคคลสำคัญของประวัติศาสตร์กวีจีนได้


ฉายาที่นักวิจารณ์ชาวจีนชื่นชอบคือ   ปราชญ์กวี  


ซึ่งเทียบเท่ากับปราชญ์นักปรัชญาอย่างขงจื๊อ ผลงานชิ้นแรกสุดที่ยังมีชีวิตอยู่คือ 


The Song of the Wagons  บรรยายถึงความทุกข์ทรมานของทหารเกณฑ์ในกองทัพจักรวรรดิ


งานเขียนของ ตู้ ฝู่ ได้รับการพิจารณาโดยนักวิจารณ์วรรณกรรมหลายคนว่าเป็นหนึ่งในงานเขียน


ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล ไม่แพ้ เช็คสเปียร์ของฝั่งตะวันตก


ทำให้เขาได้รับการขนานนามว่าเป็นกวีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของจีน




วันอาทิตย์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2566

หลี่ไป๋ Li Bai กวีจีนที่ยิ่งใหญ่แห่งราชวงศ์ถัง

 


หลี่ไป๋ Li Bai กวีจีนที่ยิ่งใหญ่แห่งราชวงศ์ถัง


   เป็นกวีชาวจีน ได้รับการยกย่องตั้งแต่สมัยของเขาเองจนถึงปัจจุบันว่าเป็นหนึ่งในกวีที่ยิ่งใหญ่

ที่สุดคนหนึ่ง และกวีที่สำคัญที่สุดของราชวงศ์ถังและในประวัติศาสตร์จีน เขาและเพื่อนของเขา ตู้ ฝู่ 

บ้านบรรพบุรุษของเขาคือเฉิงจี หลงซี (ปัจจุบันอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของจิงหนิง มณฑลกานซู) 

เขาเป็นลูกหลานของราชวงศ์ฮั่น 


หลี่ไป๋ Li Bai


กวีจีน,กวีนิพนธ์จีน,หลี่ไป๋,Li Bai,บุคคลสำคัญ,กวี,ประวัติศาสตร์จีน

  เป็นบุคคลสำคัญสองคนในความเจริญรุ่งเรืองของกวีนิพนธ์จีนภายใต้ราชวงศ์ถัง ซึ่งมักเรียกกันว่า 

"ยุคทองของกวีนิพนธ์จีน" บุคคลสำคัญของจีน


สามสิ่งมหัศจรรย์ 

หมายถึง บทกวีของหลี่ไป๋ การฟันดาบของเป่ยหมิน และการประดิษฐ์ตัวอักษรของจาง ซู


บทกวีของหลี่ไป๋ มีประมาณ 1,000 บทที่ยังหลงเหลืออยู่ บทกวีของเขาถูกรวบรวมไว้ในคอลเลกชั่น

ที่สำคัญที่สุดของราชวงศ์ถัง Heyaue Yingling Ji รวบรวมในปี 753 โดย Yin Fan

บทกวีของหลี่ไป๋จำนวน 34 บทรวมอยู่ในกวีนิพนธ์เรื่อง Three Hundred Tang Poems ซึ่งตีพิมพ์ครั้งแรก

ในศตวรรษที่ 18 ถูกรวบรวมครั้งแรกเมื่อราวปี 1763 โดยซุน จู ทั้งหมดมากกว่า 300 บท


บทกวีของเขาเริ่มปรากฏในยุโรป บทกวีเหล่านี้กลายเป็นต้นแบบในการเฉลิมฉลองความสุข

แห่งมิตรภาพ ความลึกซึ้งของธรรมชาติ ความสันโดษ และความสุขในการดื่ม  มีการแปลบทกวีของ

หลี่หลายภาษา เป็นกวีเป็นตำนาน


บทกวียุคแรกของเขาเขียนขึ้นใน "ยุคทอง" ของสันติภาพและความเจริญรุ่งเรืองภายในภายใต้

จักรพรรดิที่สนับสนุนศิลปะ วัฒนธรรมผลงานของเขามีจินตนาการที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว 

มีสไตล์ที่สง่างามและโรแมนติก มีแนวคิดทางศิลปะที่เป็นเอกลักษณ์ สดชื่นและสง่างาม


เขาเก่งในการใช้คำพูดเกินจริงและอุปมาอุปไมย ถ้อยคำและวลีที่เป็นธรรมชาติและสวยงามเพื่อ

แสดงอารมณ์  บทกวีเคลื่อนเหมือนเมฆและไหลดั่งน้ำซึ่งเป็นธรรมชาติ  


บทกวีของหลี่ไป๋ และ ตู้ ฝู่ ได้รับการสืบทอดจากปากหลายพันปากถือเป็นความสำเร็จทางศิลปะ

ด้านกวีนิพนธ์


ตู้ ฝู่เคยแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับบทความของหลี่ไป๋ว่า 


"ปากกาหล่นลงไปในพายุ และบทกวี

ก็กลายเป็นผีและเทพเจ้าที่ร้องไห้"


เป็นกวีชาวจีนที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นกวีโรแมนติกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในราชวงศ์ถัง 

เขาเป็นที่รู้จักในฐานะกวีอมตะ เขาเป็นหนึ่งในผู้ที่ได้รับความเคารพนับถือมากที่สุด

ในประวัติศาสตร์วรรณคดีจีน


หลี่ไป๋ เป็นที่รู้จักจากจินตนาการที่ล้นเหลือ และภาพลัทธิเต๋าที่แสดงออกในบทกวีของเขา 

รวมถึงความรักในการดื่มสุดสำราญของเขาหลี่ไป๋ใช้เวลาส่วนใหญ่ในชีวิตในการเดินทาง 

แต่งกลอน บทกวีและ ใช้ชีวิต


ว่ากันว่าเขาจมน้ำตายในแม่น้ำแยงซี หลังจากตกจากเรือขณะพยายามเอื้อมมือโอบเงาสะท้อน

ของดวงจันทร์ที่อยู่ในน้ำเพราะเมาเลยทำให้ตกน้ำเสียชีวิต


อนุสรณ์สถานหลี่ไป๋ตั้งอยู่ทางตะวันตกของหม่าอันชาน เป็นเมืองระดับจังหวัดทางตะวันออก

ของมณฑลอันฮุย ทางตะวันออกของจีน เมืองอุตสาหกรรมที่ทอดยาวข้ามแม่น้ำแยงซีเกีย


บทกวีของหลี่ไป๋มีอิทธิพลอย่างมากในช่วงเวลาของเขาเอง เช่นเดียวกับคนรุ่นต่อๆ ไปในประเทศจีน 


หลี่ไป๋ มีอิทธิพลต่อบทกวีของเหมาเจ๋อตุงอีกด้วย บางครั้งเขาได้รับการบูชาในฐานะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ 

ในบางทีอีกด้วย







วันอังคารที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2566

ซือหม่าเฉียน Sima Qian นักประวัติศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ ของจีน


 


ซือหม่าเฉียน Sima Qian นักประวัติศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ ของจีน

เกิดในช่วง 145/135-86 ปีก่อนคริสตศักราช เป็นอาลักษณ์หลวงในราชสำนัก โหราจารย์ และ

นักประวัติศาสตร์ของราชวงศ์ฮั่น (202 ปีก่อนคริสตศักราช - 220 คริสตศักราช) ของจีนโบราณ


ซือหม่าเฉียน




เป็นที่รู้จักในชื่อ "Shi Qian", "Tai Shi Gong" และ "บิดาแห่งประวัติศาสตร์" เขาเกิดที่เมืองหลงเหมิน

 (ปัจจุบันคือ ฮั่นเฉิง มณฑลส่านซี)


และเป็นนักประวัติศาสตร์และนักเขียนที่มีชื่อเสียงใน ราชวงศ์ฮั่นตะวันตก บันทึกทางประวัติศาสตร์ 

ที่เขียนโดย ซือหม่าเฉียน ได้รับการยอมรับว่าเป็นแบบจำลองของหนังสือประวัติศาสตร์จีน

 ในกระบวนการสร้าง บันทึกทางประวัติศาสตร์  บุคลสำคัญ ของประวัติศาสตรืจีนอีกท่านนึง

บุคคลสำคัญของจีน

เขายึดมั่นในการยืนกรานในเรื่องความถูกต้องและความเที่ยงธรรมของข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ 

เขาเข้มงวดขึ้นอยู่กับ ข้อเท็จจริงและไม่เกี่ยวข้องกับมุมมองส่วนตัวของฮ่องเต้หรือของตัวเอง 

จึงถูกเรียกว่า "กระจกแห่งนักประวัติศาสตร์"


วิธีการบุกเบิกการเขียนประวัติศาสตร์ในรูปแบบของชีวประวัติได้รับการสืบทอดโดยประวัติศาสตร์

อย่างเป็นทางการของราชวงศ์ต่อ ๆ ไป และเขาได้รับการยกย่องให้เป็นนักประวัติศาสตร์จากคนรุ่นหลัง 

เขาได้รับการยกย่องให้เป็นบิดาแห่งประวัติศาสตร์จีนจาก Records of the Grand Historian 


ซึ่งเป็นประวัติศาสตร์ทั่วไปของจีนที่ครอบคลุมมากกว่าสองพันปี นับตั้งแต่การผงาดขึ้นมาของ

จักรพรรดิเหลืองในตำนานบันทึกของนักประวัติศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ทำหน้าที่เป็นต้นแบบในการเขียน

ประวัติศาสตร์อย่างเป็นทางการสำหรับราชวงศ์จีนที่ตามมาและขอบเขตวัฒนธรรมจีน 

(เกาหลี เวียดนาม ญี่ปุ่น) จนกระทั่ง ศตวรรษที่ 20  แม้ว่าเขาจะเป็นที่จดจำไปทั่วโลกในฐานะนัก

ประวัติศาสตร์เขายังเป็นกวีและนักเขียนร้อยแก้วที่มีพรสวรรค์อีกด้วย 


ด้วยเหตุผลพูดเพื่อปกป้องนายพลเป็นคนที่เขาเคารพ แสดงความเห็นคัดค้านจักรพรรดิฮั่นอู่ตี้

ในการลงโทษแม่ทัพผู้หนึ่ง นายพลทหารจีนในราชวงศ์ฮั่นตะวันตก ซึ่งรับราชการในรัชสมัยของ

จักรพรรดิหวู่ ต่อมาเขาแปรพักตร์ไปยังซยงหนูหลังจากพ่ายแพ้ ทำให้เขาต้องเลือกว่าจะต้อง

ถูกประหารชีวิตหรือตอน เขาจึงเลือกอย่างหลัง


หลังจากที่ได้รับการปล่อยตัวจากคุก เลือกที่จะใช้ชีวิตเป็นขันทีในวังเพื่อสานต่อประวัติศาสตร์ของเขา 

เพื่อยังสามารถทำงานของเขาต่อให้จบ ซือหม่าเชียนจึงทุ่มเทใช้เวลากับการเรียบเรียง สื่อจี้ หรือ 

บันทึกประวัติศาสตร์ จนได้ชื่อว่า ผู้บันทึกประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่ ฉื่อจี้ ไท่ฉื่อกงชู  Tàishǐgōng Shū

 

เอกสารของไท่ฉื่อกง 

บันทึกของนักประวัติศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ ประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่ของจีนซึ่งถือเป็นประวัติศาสตร์

ราชวงศ์แรกจาก 24 ราชวงศ์ของจีน บันทึกนี้เขียนขึ้นในช่วงปลายศตวรรษที่ 2 ก่อนคริสต์ศักราช 

ถึงต้นศตวรรษที่ 1 ก่อนคริสต์ศักราช โดยนักประวัติศาสตร์ชาวจีนโบราณ ซือหม่าเฉียน 

ซึ่งบิดาของซือหม่า ตันได้เริ่มบันทึกเรื่องนี้เมื่อหลายสิบปีก่อน งานเขียนครอบคลุมช่วงเวลา 2,500 ปี

ตั้งแต่อายุของจักรพรรดิเหลืองในตำนานจนถึง รัชสมัยของจักรพรรดิหวู่แห่งฮั่นในสมัยของผู้เขียน 

และบรรยายโลกตามที่ชาวจีนในราชวงศ์ฮั่นตะวันตกรู้จัก


ไม่มีบันทึกที่ชัดเจนเกี่ยวกับการเสียชีวิตของซือหม่าเฉียนในประวัติศาสตร์ ทำให้ไม่สามารถระบุปี

ที่ตายและสาเหตุการเสียชีวิตได้

บางรายการระบุว่าเขาเสียชีวิตแบบปกติเรียบง่ายในช่วง ปีแรกของจักรพรรดิ ฮั่นเจาตี้ แห่งราชวงศ์ฮั่น






วันจันทร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2566

เซี่ยงอวี่ ฌ้อปาอ๋อง ขุนศึกผู้ยิ่งใหญ่ของจีน

 


เซี่ยงอวี่ ฌ้อปาอ๋อง ขุนศึกผู้ยิ่งใหญ่ของจีน

ฌ้อปาอ๋อง หรือ ซีฉู่ป้าหวาง   Xiang Yu  


ประสูติ 232 ปีก่อนคริสต์ศักราช มณฑลเจียงซู


สวรรคต 202 ปีก่อนคริสต์ศักราช (29–30 ปี) เทศมณฑลเหอ มณฑลอานฮุย

 

เซี่ยงอวี่ ฌ้อปาอ๋อง



คู่ปรับคนสำคัญของหลิวปังหรือจักรพรรดิฮั่นเกาจู ปฐมจักรพรรดิจีนราชวงศ์ฮั่น 


ขุนศึกผู้ยิ่งใหญ่ในยุคปลายราชวงศ์ฉิน บุคคลสำคัญของประวัติศาสตร์จีน บุคคลสำคัญของจีน


ผู้สูงศักดิ์แห่งรัฐฉู่ กบฏต่อราชวงศ์ฉิน เขาได้นำกองกำลังรบชนะ กองทัพฉิน เป็นยุคหลัง


จากจิ๋นซีฮ่องเต้ สวรรคตไปแล้ว


หลังจากการล่มสลายของราชวงศ์ฉินโดยร่วมมือกับ หลิวปัง เซี่ยงอวี่ได้ขึ้นครองราชย์เป็น 


"ราชาผู้ยิ่งใหญ่แห่ง ฉู่ ตะวันตก" ปกครองพื้นที่อันกว้างใหญ่ครอบคลุมจีนตอนกลางและตะวันออก


ได้ครอบครองดินแดนอันกว้างใหญ่ เช่น มณฑลหูหนาน หูเป่ย ฉงชิ่ง เหอหนาน เซี่ยงไฮ้ และ


บางส่วนของมณฑลเจียงซูในปัจจุบัน โดยมี สฺวีโจวหรือในสมัยโบราณเรียกว่า เผิงเฉิง เป็นเมืองหลวง


ร่วมต่อสู้กับ หลิวปัง ในงานเลี้ยงที่เขาจัด ที่ปรึกษาคนหนึ่งของเขาพยายามลอบสังหาร หลิวปัง 


ซึ่งทำให้ความสัมพันธ์ของพวกเขา แย่ลงนั่นคือจุดแตกหัก


หลังจากกลายเป็นศัตรูของ หลิวปัง ตัวเซี่ยงอวี่ นั่นมีทักษะยุทธการรบที่ยอดเยี่ยมแต่เขาขาดทักษะ

เชิงกลยุทธ์ การปกครอง


ในการต่อสู้แย่งชิงอำนาจมายาวนาน ที่เรียกว่าความขัดแย้งฉู่-ฮั่น ซึ่งจบลงด้วยความพ่ายแพ้ในที่สุด

ในยุทธการไกเซีย


ในที่สุดเขาก็ถูกบีบการการไล่ตามและความสุญเสียคนสำคัญและฆ่าตัวตายในที่สุด






วันอังคารที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2566

จักรพรรดิหย่งเล่อ Yongle

 


จักรพรรดิหย่งเล่อ Yongle 

จักรพรรดิหย่งเล่อ Yongle 


ประสูติ 2 พฤษภาคม 1360 ถึง 12 สิงหาคม 1424 


เป็นจักรพรรดิองค์ที่สามของราชวงศ์หมิงของจีน เป็นพระราชโอรสลำดับที่ 4 ของจักรพรรดิหงอู่ 

จักรพรรดิผู้ก่อตั้งราชวงศ์หมิง จักรพรรดิหย่งเล่อถือเป็นผู้ปกครองที่สำคัญที่สุดของราชวงศ์หมิง

และเป็นหนึ่งในจักรพรรดิที่โดดเด่นที่สุดในประวัติศาสตร์จีน เหมือนกับ จิ๋นซีฮ่องเต้

สานต่อนโยบายการรวมศูนย์อำนาจของบิดา เสริมความแข็งแกร่งให้กับของจักรวรรดิ 

บุคคลสำคัญของจีน


จักรพรรดิหย่งเล่อ Yongle



 - ก่อตั้งเมืองหลวงแห่งใหม่ ปักกิ่ง


 - ดำเนินนโยบายต่างประเทศที่กว้างขวางและดำเนินการสงคราม ขนาดใหญ่หลายครั้งเพื่อต่อต้านชาวมองโกล


 - ทำสงครามในการขยายอิทธิพลของหมิง เพื่อที่จะเสริมสร้างอิทธิพลของเขาในเอเชียตะวันออกและใต้


 - สร้างกองเรือขนาดใหญ่และมอบหมายให้พลเรือเอกเจิ้ง เหอ ดำเนินการทางการฑูต สำรวจเส้นทางและค้าขาย


 - เดิมคือชือว่า องชายจูตี้ ตอนประสูตินั้นนางสนมกงแม่แท้ๆ ตาย ทำให้จักรพรรดินีหม่ารับเลี้ยงดูแทน


 - อายุ 10 ขวบได้รับบรรดาศักดิ์ให้เป็นเจ้าชายแห่งหยาน ซึ่งมีที่มั่นในการควบคุมอยู่ทางภาคเหนือของจีน

    ตรงปักกิ่ง ถือว่าเป็นเจ้าชายแห่งภาคเหนือ


 - อายุได้16 เข้าอภิเษกกับ ท่านหญิงสวี ลูกสาวของนายพล สวีต๋า แม่ทัพที่มีบทบาทสำคัญในการ

    ก่อตั้งราชวงศ์หมิง


 - เป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้ จักรพรรดิหงอู่ เป็นอย่างมากเนื่องจากเป็นคนเฉลียวฉลาด เรียนรู้ไว 

    ร่างกายแข็งแรงมีความกระตือรือร้น


 - สู้ศึกต่อต้านมองโกลประสบความสำเร็จอยู่หลายครั้ง เนื่องจากมีแม่ทัพชั้นยอดอย่างพ่อตาตัวเอง

    คอยสอนเรื่องการสงครามทำให้ความเชี่ยวชาญด้านการสงครามเป็นอย่างมาก 


 - ได้ทำการพัฒนาเมืองให้เป็นฐานทัพหลักของภาคเหนือ ประสบความสำเร็จในการต่อต้านพวกมองโกล

    ตามแนวชายแดนหลายครั้ง


 - ปี 1392 มกุฎราชกุมาร จู เปียว พี่ชายตาย เป็นพระราชโอรสองค์ใหญ่ของ จักรพรรดิ และรัชทายาท

    องค์แรกแห่งราชวงศ์หมิง  และพี่ชายคนอื่นๆ ในเวลาต่อมาก็สิ้นชีวิตดังนั้นเจ้าชายจึงมีความหวังสูง

    ที่จะสืบทอดตำแหน่งจักรพรรดิ หงอู่ (จูหยวนจาง)แต่เรื่องราวตรงกันข้ามกับความคาดหวังของเขา 

    พ่อของเขาเลือกจู หยุนเหวิน หลานชายของเขา ขึ้นแทน


 - ในปี 1398 จักรพรรดิ หงอู่ สิ้นพระชนม์และหลานชายของเขาขึ้นครองบัลลังก์มังกรในฐานะ จักรพรรดิเจี้ยนเหวิน 


 - จักรพรรดิเจี้ยนเหวิน ทรงห้ามไม่ให้อาเข้าร่วมพิธีศพของบิดาในเมืองนานกิง เนื่องจากอำนาจทาง

    ทหารมากเกินไป ( กลัวโดนอาทุบ )


 - จักรพรรดิเจี้ยนเหวิน และที่ปรึกษาของเขาพยายามปฏิรูประบบจักรพรรดิและลดอำนาจของเจ้าชายลง 

    ( มีมากเกินไป อันตราย )


 - ในปี ค.ศ. 1399 องชายค์ จูตี้ ได้ประกาศสงครามกับนานกิง จักรพรรดิเจี้ยนเหวิน หลานชายของตัวเองเลย


 - ช่วงแรกนั้นฝั่งนานกิง ได้เปรียบอย่างมากเพราะมีทั้งทหารที่มากกว่า และเงินให้ใช้เสบียงมีมากกว่าฝั่ง องค์ชายจูตี้ 


 - ต่อมาคือ ใช้กองทักม้าจากมองโกล ที่เข้ามาสวามิภักดิ์ตั้งแต่ตอนปราบปรามเผ่ามองโกลมาหลายครั้ง

    ซึ่งแน่นอนว่ากองทัพม้าเหล่านี้สามารถเอาชนะกองทักของนานกิงได้โดนง่าย 


 - ออกรบเองทำให้ขวัญทหารดี ผิดกับ จักรพรรดิเจี้ยนเหวินที่อยู่แต่ในวังนานกิง


 - ฝั่งหลานจากได้เปรียบ กลายเป็นสู้อาไม่ได้ แถมมีคนแปรพักต์ เปิดประตูเมืองให้กองทัพอา 

    ฝั่งหลานเลยเผาวังที่นานกิงทิ้ง


 - อาก็ชนะสงครามกลางเมือง เสด็จขึ้นครองราชย์เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม ค.ศ. 1402 ขณะมีพระชนมายุ 

    42 พรรษา เป็น จักรพรรดิหย่งเล่อ จักรพรรดิองค์ที่ 3 แห่งราชวงศ์หมิง 


 - ได้อำนาจแล้วก็จัดการพวกขุนนางหรือกำลังของฝั่งตรงข้ามที่เป็นคนเก่าของหลานชายหมด 

    ประหารหลาน และเหลนตัวเอง ที่เป็นพี่น้องและลูกของ จักรพรรดิเจี้ยนเหวิน โดยไม่มีข้อยกเว้น


 - ประชาชนประมาณ 20,000 คนตกเป็นเหยื่อของการกวาดล้างในเมืองหลวง เป็นจุดนนองเลือดของ

    รัชสมัยเลยทีเดียว แต่ก็ถือเป็นยุคทองของการรวมอำนาจ


 - ความมั่งคั่งที่เพิ่มขึ้นและความมั่นคงภายใน และเป็นยุคที่จัดการโดยผู้มีความสามารถ


 - ก่อสร้างหอสักการะฟ้า  ตั้งอยู่ในกรุงปักกิ่ง หอนี้ได้รับลงทะเบียนเป็นมรดกโลกอีกด้วย


 - เจริญความสัมพันธ์กับทิเบตส่งสาส์น ของขวัญ และทูตไปยังทิเบต และเรื่องเกี่ยวกับศาสนาพุทธ


 - ย้ายเมืองหลวงไปทางเหนือจากนานกิง ไปอยู่ที่ปักกิ่ง เป็นจุดเริ่มต้นของพระราชวังต้องห้าม นั่นเอง


 - จักรพรรดิหย่งเล่อได้วางแผนระยะยาวและครอบคลุมเพื่อเสริมสร้างและเสถียรภาพให้กับเศรษฐกิจใหม่

    เพิ่มการผลิตสิ่งทอและการเกษตรให้ได้สูงสุด


 - ถอดเจ้าหน้าที่ที่ทุจริตออก ทำลายสมาคมลับ กลุ่มโจร


 - บูรณะคลองใหญ่ (เชื่อมต่อกับแม่น้ำไห่เหอ, แม่น้ำหวง, แม่น้ำฮวย, แม่น้ำแยงซี, แม่น้ำเฉียนถัง) 

    คลองขุดแรงงานมนุษย์ที่มีความยาวที่สุดในโลกใหม่เกือบทั้งหมด เผื่อใช้ขนส่งพืชผลทางการเกษตร

    และใช้เพาะปลูก


 - ส่งเสริมลัทธิขงจื๊อ รักษาพิธีกรรมแบบดั้งเดิม และเคารพวัฒนธรรม ซ่อมแซมวัดและอารามลัทธิเต๋าจำนวนมาก


 - ในรัชสมัยของพระองค์ วัดพุทธและเต๋าหลายแห่งถูกสร้างขึ้น 


 - ห้ามมิให้มีการใช้ชื่อ นิสัย ภาษา และเครื่องแต่งกายของชาวมองโกลพยายามกำจัดอิทธิพลหยวนจากจีน


สนับสนุนมัสยิดในหนานจิงและซีอาน การซ่อมแซมมัสยิดได้รับการสนับสนุนและห้ามการแปลงไปใช้อย่างอื่น


 - เขียนสารานุกรมหย่งเล่อ ซึ่งเป็นการรวบรวมอารยธรรมจีน สร้างเสร็จในปี ค.ศ. 1408 เป็นสารานุกรม

    ทั่วไปที่ใหญ่ที่สุดในโลก ในขณะนั้น


 - ชนะสงครามกับพวกมองโกล บดขยี้เศษซากของราชวงศ์หยวนที่หนีไปทางเหนือ


 - พิชิตเวียดนาม ส่งกองทัพสองกองทัพ รบกับเวียด เวียดนามถูกรวมเป็นมณฑลหนึ่งของจีน


 - ขยายอิทธิพลของจีนไปทั่วโลก จักรพรรดิหย่งเล่อได้สนับสนุนการเดินทางที่นำโดยพลเรือเอกเจิ้งเหอ

    ในขณะที่เรือของจีนยังคงเดินทางไปยังญี่ปุ่น ริวกิว และสถานที่หลายแห่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

    การเดินทางของเจิ้งเหอเป็นการสำรวจทางทะเลที่สำคัญเพียงแห่งเดียวของจีน แอฟริกา และอียิปต์

    ตั้งแต่ราชวงศ์ถัง




 - จักรพรรดิหย่งเล่อสิ้นพระชนม์ด้วยพระชนมายุ 64 พรรษา เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม ค.ศ. 1424 ระหว่าง

    การสงครามครั้งสุดท้ายกับพวกมองโกลใน ทะเลทรายโกบีเพื่อไล่ล่ากองทัพของโออิรัตที่หลบหนี

    มีอาการเส้นเลือดในสมองตีบเล็กน้อยหลายครั้งก่อนออกทำศึก  จากนั้นก็ทรงประชวร อาจเนื่อง

    มาจาก พระโลหิตในสมองแตกหลายครั้ง เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม ค.ศ. 1424 จักรพรรดิหย่งเล่อเสด็จ

    สวรรคต เขาถูกฝังอยู่ในฉางหลิง มอบบัลลังก์ให้กับองค์รัชทายาท 


 - จักรพรรดิหย่งเล่อได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้แสวงหาเกียรติยศ อำนาจ และความมั่งคั่งมาตลอดชีวิต

    ทำงานอย่างหนักเพื่อรักษาวัฒนธรรมจีน อุปถัมภ์วัฒนธรรมมองโกลและทิเบตด้วย รักษาความสำเร็จ

    ของบิดาไว้ ปฏิรูปเศรษฐกิจ การศึกษา และการทหาร การทูจ การสำรวจ เป็นผู้ปกครองที่มีอิทธิพล

    ในประวัติศาสตร์จีน แม้จะถูกครหาในเรื่องการฆ่าผู้นฝั่งตรงข้ามไปถึงการนองเลือด หรือ การเป็น

    เผด็จการในรัชสมัย แต่ก็ยังถูกยกย่องเป็นส่วนสำคัญ บุคคลสำคัญในการพัฒนาของจีนในช่วง

    ราชวงศ์หมิง และประวัติศาสตร์สำคัญของจีน




วันอังคารที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2566

เจิ้ง เหอ Zhèng Hé แม่ทัพนักเดินเรือผู้ยิ่งใหญ่ของจีน

 


เจิ้ง เหอ Zhèng Hé แม่ทัพนักเดินเรือผู้ยิ่งใหญ่ของจีน

เจิ้ง เหอ Zhèng Hé แม่ทัพนักเดินเรือผู้ยิ่งใหญ่ของจีน


เจิ้ง เหอ Zhèng Hé



 - เกิดในปี ค.ศ. 1371 ในยูนนาน


 - เสียชีวิตในปี ค.ศ. 1433


 - เดิมทีมีชื่อว่า "ซานเป่า"


 - เป็นนักเดินทางชาวหุย (เป็นมุสลิมกลุ่มหนึ่งในประเทศจีน) บุคคลสำคัญของจีน


 - นักเดินเรือ พลเรือเอก และนักการทูตชาวจีนในสมัยราชวงศ์หมิง บุคคลสำคัญของจีน


 - เป็นขันทีรับใช้จักรพรรดิจีน 


 - เจิ้งเหอเป็นผู้นำการสำรวจการเดินทางโดยเรือ 7 ครั้ง ตั้งแต่ปี 1405 ถึง 1433 ด้วยเรือขนาดใหญ่

    ของเขาบรรทุกลูกเรือหลายร้อยคน


 - ใช้เวลา 28 ปีในการสำรวจไปยังดินแดน เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เอเชียใต้ เอเชียตะวันตก 

    และแอฟริกาตะวันออก


 - ถือเป็นนักเดินเรือผู้ยิ่งใหญ่ของประเทศจีน อาจอ้างอิงถึงไปทวีป อเมริกาได้ก่อน โคลัมบัส อีกด้วย


 - เป็นขันทีที่มีอิทธิพลอย่างมากในราชสำนัก


 -  ฮ่องเต้ก็พระราชทานนามสกุลเจิงให้หม่ารู้จักกันในชื่อเจิ้งเหอ


 - ได้รับเลือกจากจักรพรรดิให้เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดของภารกิจสำรวจมหาสมุทรตะวันตก


 - กองเรือเดินทางเยือนจำปา (ปัจจุบันอยู่ทางตอนใต้ของเวียดนาม) สยาม (ประเทศไทย) 

    มะละกา (มะละกา) และเกาะชวา  จากนั้นเดินทางผ่านมหาสมุทรอินเดียไปยังเมืองกาลิกัต 

    (โคซิโคเด) บนชายฝั่งมาลาบาร์ของอินเดียและซีลอน (ศรีลังกา) แอฟริกา และอาระเบีย


**ราชสำนักหมิงสนับสนุนการเดินทางทางเรือเจ็ดครั้ง


 - 1405–1407 เที่ยวที่ 1 : จำปา,  ชวา, ปาเล็มบัง, มะละกา, อารู, ซามูเดรา, ลามูรี, ซีลอน 

    (ประเทศศรีลังกา), คอลลัม, โกจจิ, โกฬิกโกฏ(Calicut)


 - 1407–1409 เที่ยวที่2 : จำปา ชวา  สยาม โคชิน  ซีลอน โกฬิกโกฏ


 - 1409–1411 เที่ยวที่3 : จำปา ชวา มะละกา ซามูเดรา ซีลอน คอลลัม โคชิน โกฬิกโกฏ(Calicut) 

    สยาม ลามูรี กาจัล โคอิมบาโตร์ ปุตตันปุระ


 - 1413–1415 เที่ยวที่4 : จำปา กลันตัน ปะหัง ชวา ปาเล็มบัง มะละกา เซมูเดรา ลามูรี ซีลอน โคชิน 

    โกฬิกโกฏ(Calicut) คาจัล ฮอร์มุซ มัลดีฟส์  โมกาดิชู บาราวา มาลินดี เอเดน มัสกัต โดฟาร์


 - 1417–1419 เที่ยวที่ 5 : ริวกิว, จำปา, ปะหัง, ชวา, มะละกา, ซามูเดโร, ลามูรี, เบงกอล, ซีลอน, 

    ชาร์จาห์, โคชิน, โกฬิกโกฏ(Calicut), ฮอร์มุซ, มัลดีฟส์, โมกาดิชู, บาราวา, มาลินดี, เอเดน


 - 1421–1422 เที่ยวที่ 6 : จำปา เบงกอล ซีลอน โกฬิกโกฏ(Calicut) โคชิน มัลดีฟส์ ฮอร์มุซ โดฟาร์

    เอเดน โมกาดิชู บาราวา


 - 1430–1433 เที่ยวที่ 7 : จำปา ชวา ปาเล็มบัง มะละกา เซมูเดโร หมู่เกาะอันดามันและนิโคบาร์ 

    เบงกอล ซีลอน โกฬิกโกฏ (Calicut) ฮอร์มุซ เอเดน กันบาลี (อาจเป็นโคอิมบาโตเร) เบงกอล 

    หมู่เกาะแลคคาไดฟ์และมัลดีฟส์ โดฟาร์ ลาซา เอเดน เมกกะ โมกาดิชู บาราวา


-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


 - เจิ้งเหอนำคณะสำรวจเจ็ดครั้งไปยัง "ตะวันตก" หรือมหาสมุทรอินเดีย เจิ้ง เหอ ได้นำทรัพย์สินและ

    ทูตจากกว่า 30 อาณาจักรกลับมายังจีน


 - เดินทางข้ามผืนน้ำอันกว้างใหญ่ ทนอยู่ในมหาสมุทรที่มีคลื่นสูงพอๆ กับภูเขาสูงเสียดฟ้า 


 - เขามอบของขวัญเป็นทองคำ เงิน เครื่องลายครามและผ้าไหม จีนได้รับของ เช่นนกกระจอกเทศ 

    ม้าลาย อูฐ และงาช้าง


 - ใช้ลูกเรือมากกว่าจำนวนมหาศาลที่เป็นเจ้าหน้าที่ทหารประจำ เขาปราบโจรสลัดที่ก่อกวน

    น่านน้ำจีนและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างโหดเหี้ยม


 - ทำสงครามกับอาณาจักร Kote ของศรีลังกา แสดงแสนยานุภาพเมื่อเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น

    คุกคามกองเรือของเขาในอาระเบียและแอฟริกาตะวันออก


 - ในสมัยหย่งเล่อ มีพระราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ระงับการเดินเรือของเจิ้งเหอ เนื่องจากต้อง

    เสียค่าใช้จ่ายจำนวนมาก แต่ก็ไม่ได้รับผลกระทบอะไรกับการเดินทางเที่ยวที่ 6 ของเขา 

    ในปี ค.ศ. 1424 จักรพรรดิจงเล่อสิ้นพระชนม์ ผู้สืบทอดของเขาคือ จักรพรรดิหงซี จึงได้สั่ง

    ให้หยุดการเดินเรืออย่างถาวร แต่พระองค์ครองราชย์แค่ช่วงสั้นๆ 1424 - 1425


 - ในรัชสมัยของโอรสของหงซี คือเซฺวียนเต๋อ ได้มีการเดินทางเที่ยวที่ 7 ของเขา แต่หลังจากนั้น 

    องค์จักรพรรดิเซฺวียนเต๋อ การเดินทางของกองเรือสมบัติของจีนก็สิ้นสุดลง


 - ทฤษฎีหนึ่งคือเจิ้งเหอ ก็ได้เสียชีวิตจากการเดินทางครั้งสุดท้ายของเขาในทะเล ไม่ทันได้กลับ

    แผ่นดินแม่ที่จีน 


การเดินทางของเจิ้งเหอถูกละเลยมานานในประวัติศาสตร์ทางการของจีน แต่กลายเป็นที่รู้จักกันดี

ในจีนและต่างประเทศตั้งแต่การตีพิมพ์หนังสือชีวประวัติของเหลียง ฉีเฉา 

ของเจิ้ง เหอ ผู้นำทางที่ยิ่งใหญ่แห่งมาตุภูมิของเรา ในปี 1904 





วันอังคารที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2566

จิ๋นซีฮ่องเต้ Qin Shi Huang

 


จิ๋นซีฮ่องเต้  Qin Shi Huang

จิ๋นซีฮ่องเต้ - ฉินฉื่อหฺวังตี้  Qin Shi Huang


18 กุมภาพันธ์ 259 ปีก่อนคริสตกาล - 10 กันยายน 210 ปีก่อนคริสตกาล


จิ๋นซีฮ่องเต้  Qin Shi Huang


เป็นจักรพรรดิองค์แรกของจีน  บุคคลสำคัญของจีน


เป็นผู้ก่อตั้งราชวงศ์ฉินและเป็นจักรพรรดิองค์แรกของการรวมจีนให้เป็นปึกแผ่น


เกิดในหานตัน เมืองหลวงของรัฐจ้าว  มีพระนามเดิมว่า อิ๋ง เจิ้ง หรือ จ้าว เจิ้ง 


 พระบิดา คือ พระเจ้าฉินจฺวังเซียง พระมารดา คือ จ้าว จี 


ลฺหวี่ ปู้เหวย์ ( ต่อมาเป็น อัครมหาเสนาบดีแห่งรัฐฉิน ) พ่อค้าผู้มั่งคั่งได้ช่วยเหลือเขาในการสืบต่อ

จากบิดาของเขาในฐานะผู้ปกครองฉิน


พระชนมายุ 38 พรรษา ได้พิชิตรัฐอื่นทั้งหมดและรวบรวมจีนทั้งหมดเป็นปึกแผ่น


พระองค์ขึ้นครองบัลลังก์ในฐานะจักรพรรดิองค์แรกของจีน


ออกกฎหมายปฏิรูปเศรษฐกิจและการเมืองครั้งใหญ่ ดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่สำคัญและ

การปฏิรูปการเมืองร่วมกับอัครมหาเสนาบดีของเขา หลี่ ซือ มีการห้ามและเผาหนังสือหลายเล่ม

และประหารชีวิตผู้รู้ นักปราชญ์ เป็นจำนวนมาก


ดำเนินการเชื่อมต่อกำแพงของรัฐต่างๆเข้าด้วยกันเป็นกำแพงเมืองจีน


จิ๋นซีฮ่องเต้มักถูกมองว่าเป็นผู้ปกครองที่กดขี่ข่มเหง 


บังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดเป็นพื้นฐานของราชวงศ์ฉินและกองทัพทั้งหมด


จัดตั้งระบบการปกครองแบบรวมศูนย์และระบบราชการโดยเปลี่ยนการปกครอง


ส่วนท้องถิ่นทั่วประเทศเป็นระบบมณฑลและจังหวัดที่ปกครองโดย แต่งตั้งและส่งข้าราชการ


หน่วยเงินตราและหน่วยวัดที่เป็นเอกภาพมาตราฐานเดียวกัน


การบำรุงรักษาและการขยายกำแพงเมืองจีน ในรัชสมัยของพระองค์มีอิทธิพลอย่างสูงต่อ

ประวัติศาสตร์ทั้งหมดของจีนในเวลาต่อมา มีอิทธิพลกว้างไกลต่อความคิดทางการเมืองของจีน 


ฉินจากฐานเล็ก ๆ ได้กลายเป็นมหาอำนาจ ปกครองแผ่นดินและได้รับความเคารพจากทั่วทุกสารทิศ

เป็นเวลาร้อยปี เป็นหนึ่งในวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ของประวัติศาสตร์จีน บุคคลสำคัญของประวัติศาสตร์จีน

ในยุคใหม่ จิ๋นซีฮ่องเต้ถูกมองว่าเป็นผู้ปกครองที่มองการณ์ไกล ก่อตั้งรัฐ รวมศูนย์เป็นปึกแผ่น

แห่งแรกในประวัติศาสตร์จีน


จิ๋นซีฮ่องเต้ ยกเลิกระบบศักดินาจัดระเบียบจักรวรรดิออกเป็นหน่วยการปกครองย่อยๆ 


การแต่งตั้งข้าราชการ ขุนนางจะขึ้นอยู่กับความดีความชอบแทนสิทธิทางสายเลือดที่สืบต่อกันมา


จิ๋นซีฮ่องเต้และหลี่ซือรวมจีนเป็นปึกแผ่นทางเศรษฐกิจโดยสร้างมาตรฐานมาตราชั่งตวงวัดของจีน 


เพลาเกวียนกำหนดความยาวมาตรฐานเพื่ออำนวยความสะดวกในการขนส่งทางถนน พัฒนา

เครือข่ายถนนและคลองที่กว้างขวางเพื่อการค้าและการสัญจร สกุลเงินของรัฐต่าง ๆ 

ได้รับมาตรฐานเดียวกัน


สร้างภาษาเขียนที่เป็นสากลสำหรับประเทศจีนทั้งหมด แม้จะมีภาษาพูดที่หลากหลายก็ตาม


จิ๋นซีฮ่องเต้ได้กำจัดสำนักศึกษา ซึ่งรวมถึงลัทธิขงจื๊อและปรัชญาอื่น ๆ การยึดถือกฎหมายจึง

กลายเป็นอุดมการณ์บังคับของราชวงศ์ฉิน


จิ๋นซีฮ่องเต้จึงสั่งให้เผาหนังสือที่มีอยู่ส่วนใหญ่เกี่ยวกับปรัชญา  ยกเว้นหนังสือเกี่ยวกับ

โหราศาสตร์ การเกษตร การแพทย์ การทำนาย และ ประวัติศาสตร์รัฐฉิน


ระหว่างการเสด็จประพาสภาคตะวันออกของจีน จักรพรรดิประชวรหนักในผิงหยวนจิน 

(เทศมณฑลผิงหยวน มณฑลซานตง) และเสด็จสวรรคตในเดือนกรกฎาคมหรือสิงหาคม 210 ปี

ก่อนคริสตกาล ณ พระราชวังในจังหวัดชาชิว


สาเหตุการสิ้นพระชนม์ของจิ๋นซีฮ่องเต้ยังไม่ทราบ แม้ว่าพระองค์จะทรงทรุดโทรมจากการปกครอง

หลายปีของพระองค์ก็ตามมีสมมติฐานหนึ่งว่าเขาถูกวางยาพิษด้วยยาอายุวัฒนะที่มีสารปรอท 

หรืออาจเป็นเพราะคิดว่าเป็นยาเลยสะสมสารปรอทเข้าไป นานวันเข้าร่างกายก็ทนทานไม่ได้ 

เป็นเหตุจากการที่เขาต้องการเพื่อแสวงหาความเป็นอมตะให้ตัวเอง 


อ้างอิงจากบทความ จิ๋นซีฮ่องเต้ (ตายเพราะอยากอมตะ) 





วันพุธที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2566

บรอนซีโน Bronzino จิตรกรชาวฟลอเรนซ์

 


บรอนซีโน Bronzino จิตรกรชาวฟลอเรนซ์

 - แอกโนโล ดี โคสิโม : Agnolo di Cosimo


 - หรือที่รู้จักกันในนาม บรอนซีโน Bronzino


 - หรือแอกโนโล บรอนซิโน Agnolo Bronzino


 - เป็นจิตรกรแนวนิยมชาวอิตาลีจากฟลอเรนซ์


 - เกิด : 17 พฤศจิกายน ค.ศ. 1503 ฟลอเรนซ์ สาธารณรัฐฟลอเรนซ์ ( อิตาลี ในปัจจุบัน )


บรอนซีโน Bronzino จิตรกรชาวฟลอเรนซ์



 - แนว : จริตนิยม คือยุคของศิลปะของจิตรกรรม ประติมากรรม สถาปัตยกรรม และการตกแต่ง 

    ที่เริ่มตั้งแต่ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาสมัยทึ่รุ่งเรืองที่สุดราวปี ค.ศ. 1520 จนกระทั่งจดสมัยบาโรก ( บาโรก 

    ยุคคนดัง อีกคนของอิตาลีคือ Gian Lorenzo Bernini จิอัน โลเรนโซ่ แบร์นินี่ ) ราวปี ค.ศ. 1600

    ที่ได้รับอิทธิพลและปฏิกิริยาต่ออุดมคติอันกลมกลืนที่เกี่ยวข้องกับศิลปิน เช่น เลโอนาร์โด ดา วินชี 

    ราฟาเอล วาซารี และมิเกลันเจโลยุคแรก


 - ใช้ชีวิตทั้งชีวิตในฟลอเรนซ์ ในฐานะจิตรกรในราชสำนักของ Cosimo I de' Medici (โกซีโมที่ 1 เด เมดีชี)

     แกรนด์ดยุกแห่งทัสคานี


 - เขาเป็นนักวาดภาพเหมือน วาดภาพเรื่องศาสนาอีกหลายเรื่อง และเรื่องเชิงเปรียบเทียบ ภาพบุคคล

    เชิงเปรียบเทียบ เขาฝึกฝนกับจาโกโป ปอนตอร์โม (Jacopo Pontormo) จิตรกรชั้นนำชาวฟลอเรนซ์

    ในยุคแรกของลัทธินิยมนิยม และสไตล์ของเขาได้รับอิทธิพลอย่างมากจากเขา และทั้งสองยังคงเป็น

    ผู้ทำงานร่วมกันไปตลอดชีวิต



ผลงานที่น่าจะเป็นที่รู้จักกันดีของเขาอย่าง


- Venus, Cupid, Folly and Time “วีนัส, คิวปิด, ฟอลลี เป็นภาพเขียนเชิงเปรียบเทียบราวปี ค.ศ. 1545

            ปัจจุบันอยู่ในหอศิลป์แห่งชาติ ลอนดอน


- Portrait of Eleanor of Toledo ผลงานที่โด่งดังที่สุดชิ้นหนึ่งของเขา จัดแสดงอยู่ในหอศิลป์อุฟฟิซี

            แห่งฟลอเรนซ์ ประเทศอิตาลี และถือเป็นหนึ่งในตัวอย่างที่โดดเด่นของการวาดภาพบุคคลตามจริตนิยม


- Deposition of Christ  การอัญเชิญพระศพลงจากกางเขน เป็นภาพเขียน แสดงถึงการนำพระเยซู

            ลงจากไม้กางเขน เป็นงาน Altarpiece ฉากประดับแท่นบูชา ภาพหรืองานแกะสลักนูนที่เป็นภาพ

            ที่เกี่ยวกับคริสต์ศาสนาที่แขวนหน้าแท่นบูชา  ที่เรียกว่า “จิตรกรรมแผง” และมักจะเรียกว่า

            “บานพับภาพ” 


- Crossing of the Red Sea ข้ามทะเลแดง  เป็นจิตรกรรมฝาผนังที่อยู่ภายในวังเว็คคิโอในฟลอเรนซ์

            ในประเทศอิตาลี 


- ภาพพรมแขวนผนัง The Story of Joseph,โยเซฟ (บุตรยาโคบ) 


 - นอกจากการเป็นจิตรกรแล้ว บรอนซิโนยังเป็นกวีอีกด้วย และภาพบุคคลส่วนใหญ่ของเขาอาจเป็นของ

   บุคคลสำคัญทางวรรณกรรมอื่นๆ เช่น ภาพของเพื่อนของเขา กวี ลอรา แบทติเฟอร์รี (Laura Battiferri) 


 - งานของบรอนซิโนมักจะรวมถึงการอ้างอิงที่ซับซ้อนถึงจิตรกรรุ่นก่อนๆ


 - ผลงานของบรอนซิโนหลายชิ้นยังคงอยู่ในฟลอเรนซ์ แต่ตัวอย่างอื่นๆ สามารถพบได้ในหอศิลป์แห่งชาติ

    ลอนดอน และที่อื่นๆ


 - ในช่วงสุดท้ายของชีวิต บรอนซิโนมีส่วนสำคัญใน Florentine Accademia delle Arti del Disegno ซึ่ง

    เขาเป็นสมาชิกผู้ก่อตั้งในปี 1563


 - Florentine Accademia delle Arti del Disegno : เป็นสถาบันของศิลปินในเมืองฟลอเรนซ์ ประเทศอิตาลี

    ของ  Cosimo I de' Medici ภายใต้อิทธิพลของ Giorgio Vasari จอร์โจ วาซารี สถาปนิกและจิตรกรชาว

    อิตาลี


 - จิตรกร Alessandro Allori  (อเลสซานโดร อัลลอริ) เป็นลูกศิษย์คนโปรดของเขา และ บรอนซิโน 

    อาศัยอยู่ในบ้านของครอบครัว อัลลอริ ในช่วงที่เขาเสียชีวิตในฟลอเรนซ์ในปี 1572


 - เสียชีวิต 23 พฤศจิกายน ค.ศ. 1572 (อายุ 69 ปี) ฟลอเรนซ์ ดัชชีแห่งฟลอเรนซ์




วันอาทิตย์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566

คริสโตเฟอร์ เรน ( Sir Christopher Wren ) ยอดสถาปนิกโลก

 


คริสโตเฟอร์ เรน ( Sir Christopher Wren ) ยอดสถาปนิกโลก

คริสโตเฟอร์ เรน ( Sir Christopher Wren )


คริสโตเฟอร์ เรน ( Sir Christopher Wren ) ยอดสถาปนิกโลก


 - เซอร์ คริสโตเฟอร์ เรน : Sir Christopher Wren


 - เกิด : 20 ตุลาคม ค.ศ. 1632  East Knoyle วิลต์เชอร์ (มณฑลทางตะวันตกเฉียงใต้ของสหราชอาณาจักร) อังกฤษ


 - เป็นหนึ่งในสถาปนิกชาวอังกฤษที่ได้รับการยกย่องมากที่สุดในประวัติศาสตร์


 - และยังมีความสามารถในด้าน กายวิภาคศาสตร์ นักดาราศาสตร์ นักเรขาคณิต และนักคณิตศาสตร์-นักฟิสิกส์


 - ได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบในการสร้างโบสถ์ 52 ( บางข้อมูลบอกออกแบบ 54 แห่ง ) หลังในลอนดอน

    หลังเหตุไฟไหม้ครั้งใหญ่ในปี 1666


 - มหาวิหารเซนต์ปอล St Paul's Cathedral หรือ อาสนวิหารเซนต์พอล  ได้รับการยกย่องว่าเป็นผลงาน

    ชิ้นเอกของเขา ซึ่งตรงอยู่บนเขาลัจเจท จุดสูงสุดของนครลอนดอน


 - ได้รับการศึกษาด้านฟิสิกส์ภาษาละตินและอริสโตเตเลี่ยน ฟิสิกส์ หรือฟิสิกส์ของอริสโตเติล เป็นรูปแบบ

    ของวิทยาศาสตร์ธรรมชาติที่อธิบายไว้ในผลงานของนักปรัชญาชาวกรีกอริสโตเติล จากมหาวิทยาลัย

    ออกซ์ฟอร์ด


 - เป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งราชสมาคม (Royal Society) และดำรงตำแหน่งประธานตั้งแต่ปี ค.ศ. 1680 ถึง 1682

    ในบรรดาผู้ก่อตั้งเหล่านั้น ได้แก่ Christopher Wren, Robert Boyle (โรเบิร์ต บอยล์) , John Wilkins

    (จอห์น วิลกินสัน ), William Brouncer และ Robert Moray (โรเบิร์ต มอร์ลีย์)


 - Royal Society  ราชสมาคม คือ ชื่ออย่างเป็นทางการว่า The Royal Society of London for Improving

     Natural Knowledge สถาบันวิทยาศาสตร์แห่งชาติของสหราชอาณาจักร ส่งเสริมวิทยาศาสตร์และ

    ประโยชน์ของวิทยาศาสตร์ ตระหนักถึงความเป็นเลิศด้านวิทยาศาสตร์ สนับสนุนวิทยาศาสตร์ที่โดดเด่น

    ให้คำแนะนำด้านวิทยาศาสตร์การศึกษา และการมีส่วนร่วมของสาธารณะ


 - ผลงานทางวิทยาศาสตร์ของเขาได้รับการยกย่องอย่างสูงจาก Isaac Newton (ไอแซก นิวตัน) และ

    Blaise Pascal (แบลซ ปาสกาล)


 - เป็นนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงในช่วงการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์


 - ได้รับเชิญจากพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 2 ให้ดูแลการสร้างแนวป้องกันท่าเรือแห่งใหม่ที่แทนเจียร์ (เป็นเมือง

    ทางตะวันตกเฉียงเหนือของโมร็อกโก ) ซึ่งขณะนั้นอยู่ภายใต้การควบคุมของอังกฤษ


 - แลได้ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการซ่อมแซมอาสนวิหารเซนต์ปอลเก่า ซึ่งผลภายหลังการสร้างใหม่นั้น

    เป็นผลงานของเขาในท้ายที่สุด


 - ใช้คณิตศาสตร์ในการสร้างป้อมปราการทางทหาร


 - เขายังเคยได้พบกับ จิอัน โลเรนโซ แบร์นีนี (Gian Lorenzo Bernini) สถาปนิกชื่อดัง ในตอนที่ไป

    ต่างประเทศครั้งแรก คือ ฝรั่งเศส ซึ่งถือได้ว่าเป็นบุคคลสำคัญอีกคนนึงของวงการยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา

    อิตาลี ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางจากผู้ร่วมสมัยว่าเป็นศิลปินที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งศตวรรษส่งผล

    ต่อเส้นทางสายอาชีพของเขาเช่นกัน


 - วิหารเซนต์ปอลในลอนดอนเป็นจุดเด่นของชื่อเสียงของคริสโตเฟอร์ เรน มาโดยตลอด ความสัมพันธ์

    ของเขากับมันครอบคลุมอาชีพสถาปัตยกรรมทั้งหมดของเขา


17. คริสโตเฟอร์ เรน เสียชีวิต วันที่ 8 มีนาคม 1723 ในวัย 90 ปี  ร่างของเขาถูกฝังไว้ที่มุมตะวันออกเฉียงใต้

ของห้องใต้ดินของโบสถ์เซนต์พอล มีอนุสรณ์ถึงเขาในห้องใต้ดินที่มหาวิหารเซนต์ปอล





วันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566

Gian Lorenzo Bernini จิอัน โลเรนโซ่ แบร์นินี่

 


Gian Lorenzo Bernini จิอัน โลเรนโซ่ แบร์นินี่

Gian Lorenzo Bernini จิอัน โลเรนโซ่ แบร์นินี่ 


Gian Lorenzo Bernini จิอัน โลเรนโซ่ แบร์นินี่


 - Gian Lorenzo Bernini จิอัน โลเรนโซ่ แบร์นินี่  (จิอัน)


 - หรือ Gianlorenzo / Giovanni Lorenzo จิโอวานนี่ โลเรนโซ่


 - เป็นประติมากรและสถาปนิกชาวอิตาลี ในขณะที่บุคคลสำคัญในโลกของสถาปัตยกรรม 


 - เขาเป็นประติมากรชั้นนำในยุคของเขา โดดเด่นในยุคของตน


 - เกิด : 7 ธันวาคม 1598 เนเปิลส์ ราชอาณาจักรเนเปิลส์ ในยุคที่ยังแยกเป็นหลายแคว้น  

    ราชอาณาจักรเนเปิลส์เป็นอาณาจักรทางตอนใต้ของคาบสมุทรอิตาลี 


 - ได้รับชื่อเสียงในฐานะ การสร้างประติมากรรมสไตล์บาโรกเป็นประติมากรรมที่เกี่ยวข้องกับสไตล์บาโรก

    ในช่วงระหว่างต้นคริสต์ศตวรรษที่ 17 ถึงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 18


 - ดังที่มีคนเปรียบว่า เชคสเปียร์ ยอดเยี่ยมในวรรณกรรม อย่างไร แบร์นินี่ ก็ยอดเยี่มในสถาปัตยกรรม

    แบบนั้น


 - ประติมากรชาวยุโรปคนแรกที่มีชื่อที่สามารถระบุได้ทันทีด้วยลักษณะเฉพาะและวิสัยทัศน์ และมีอิทธิพล

    อย่างเหลือล้นต่อ ประติมากรรุ่นหลัง


 - เขาเป็นจิตรกร (ส่วนใหญ่เป็นภาพเขียนสีน้ำมันขนาดเล็ก) และเป็นคนของโรงละคร เขาเขียนบท กำกับ

    และแสดงในละคร (ส่วนใหญ่เป็นงานเสียดสีคาร์นิวัล) ซึ่งเขาได้ออกแบบชุดเวทีและเครื่องจักรสำหรับ

    การแสดงละคร


 - เขาผลิตงานออกแบบสำหรับวัตถุศิลปะการตกแต่งที่หลากหลาย เช่น โคมไฟ โต๊ะ กระจก และแม้แต่

    ตู้โดยสาร


 - ในฐานะสถาปนิกและนักวางผังเมือง เขาได้ออกแบบอาคาร โบสถ์ ห้องสวดมนต์ และจัตุรัสสาธารณะ

    รวมถึงงานขนาดใหญ่ที่ผสมผสานทั้งสถาปัตยกรรมและประติมากรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งน้ำพุสาธารณะ

    ที่ซับซ้อน และอนุสาวรีย์ อนุสรณ์งานศพ และโครงสร้างชั่วคราวทั้งชุด (ปูนปั้นและไม้ ) สำหรับงานศพ

    และงานรื่นเริง


 - ความเก่งกาจทางเทคนิคที่กว้างขวางไร้ขอบเขตของเขา ความคิดสร้างสรรค์เชิงองค์ประกอบที่ไร้ขอบเขต 

    และทักษะอันเฉียบขาดในการจัดการกับหินอ่อนทำให้มั่นใจได้ว่าเขาจะได้รับการพิจารณาว่าเป็น

    ผู้สืบทอดตำแหน่งที่คู่ควรกับไมเคิลแองเจโล ซึ่งเหนือกว่าประติมากรคนอื่นๆ ในรุ่นของเขา


 - พรสวรรค์ของเขาขยายออกไปนอกขอบเขตของประติมากรรม จิตรกรรม และสถาปัตยกรรมให้เป็น

    แนวคิดและทัศนศิลป์ที่สอดคล้องกันทั้งหมดเรียกว่า "เอกภาพแห่งทัศนศิลป์"


 - รายการผลงานประติมากรรม สถาปัตยกรรม และจิตรกรรมของศิลปินสไตล์บาโรกชาวอิตาลี 

    จิอัน โลเรนโซ่ แบร์นินี่  มีมากมาย เช่น 


- The Goat Amalthea with the Infant Jupiter and a Faun รูปปั้นแสดงแอมัลเธีย (แม่บุญธรรมของ 

            ซุส )เป็นแพะ จูปิเตอร์วัยทารก และฟอนทารกสัตว์ในเทพปกรณัมโรมัน  ท่อนบนจากศีรษะลงไป

            ถึงเอวเป็นมนุษย์แต่มีเขาและหูของแพะ


- Bust of Giovanni Battista Santoni รูปปั้นครึ่งตัวทำด้วยหินอ่อนขนาดเท่าตัวจริง 


- Bust of Pope Paul V 


- Ecstasy of Saint Teresa (ความปีติยินดีของนักบุญเทเรซ่า) ประติมากรรมหินอ่อนสีขาวที่ตั้งอยู่ใน

            ภาพวาดบนเพดานสูงในโบสถ์ซานตา มาเรีย เดลลา วิตตอเรีย ในกรุงโรม

- Truth Unveiled by Time ประติมากรรมหินอ่อน


- Memorial to Maria Raggi อนุสาวรีย์นี้ติดอยู่กับเสาในโบสถ์ของโบสถ์ซานตา มาเรีย โซปรา 

            มิเนอร์วา ในกรุงโรม เป็นแม่ชีจากเกาะ Chios (เกาะไคออส) เธอถูกบังคับให้แต่งงานตั้งแต่อายุ

            ยังน้อย เธอเป็นหม้ายเมื่อสามีของเธอถูกจับ กลายเป็นแม่ชีในปีเป็นผู้หญิงที่เคร่งศาสนามาก 

            เธอใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการสวดมนต์



และอื่นๆอีกมากมาย สามารถค้นหาได้จาก คำคีย์เวิร์ด ว่า List of works by Gian Lorenzo Bernini


 - จิอัน โลเรนโซ่ แบร์นินี่ ถูกยกให้เป็น ผู้สนับสนุนในฐานะผู้ยิ่งใหญ่ของศิลปะบาโรก


 - ศิลปะแบบบาโรกของเขาได้รับการบูรณะให้เป็นที่โปรดปรานทั้งในเชิงวิจารณ์และเป็นที่นิยมในศตวรรษที่ 21


 - จิอัน โลเรนโซ่ แบร์นินี่ เสียชีวิตจากโรคหลอดเลือดสมอง วันที่ 28 พฤศจิกายน ค.ศ. 1680 ด้วยวัย 81 ปี

     โดยได้รับการยกย่องว่าเป็น จักรพรรดิแห่งศิลปะ




วันพฤหัสบดีที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566

กุบไล ข่าน Kublai Khan ผู้ยิ่งใหญ่เหนือแดนจีน

 


กุบไล ข่าน Kublai Khan ผู้ยิ่งใหญ่เหนือแดนจีน

กุบไล ข่าน Kublai Khan ผู้ยิ่งใหญ่เหนือแดนจีน

กุบไล ข่าน Kublai Khan ผู้ยิ่งใหญ่เหนือแดนจีน


 - กุบไล ข่าน : หยวนชื่อจู่ หรือ ซีโจ๊วฮ่องเต้  Emperor Shizu of Yuan บุคคลสำคัญของจีน


 - ชื่อราชวงศ์ คือ Setsen Khan


 - เป็นผู้ก่อตั้งราชวงศ์หยวนของจีนและจักรพรรดิ์ข่านองค์ที่ห้าของอาณาจักรมองโกล เป็นพระราช

    นัดดา เจงกิส ข่าน  


 - เกิด 23 กันยายน ค.ศ. 1215


 - เสียชีวิต 18 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1294 (อายุ 78 ปี)


 - เผ่าบอร์ไจกิ้น : Borjigin เป็นสมาชิกของกลุ่มย่อยมองโกลของ ตระกูล Kiyat 


 - ราชวงศ์หยวน


 - พระบิดา : โทลุย ( โทโลย ข่าน ) ผู้สำเร็จราชการแห่งจักรวรรดิมองโกล เป็นพระราชโอรสพระองค์ที่

    สี่ของเจงกิส ข่าน กับบอร์เต


 - พระมารดา : ซอร์กากตานิ เบกิ (เจ้าหญิงเคไรต์) เป็นหนึ่งในผู้หญิงที่ทรงอิทธิพลและมีอำนาจมากที่สุด

    ในประวัติศาสตร์ ของมองโกล 


 - จักรพรรดินี : พระนางฉาปี้ (察必) Empress Chabi  / จักรพรรดินีน้ำบุย Empress Nambui -- แต่งหลังจาก

     พระนางฉาปี้สวรรตด


 - ชายา : เตกูลัน Tegulen Khatun


 - พระราชบุตร ( อาแค่บุตรชายนะ ไม่งั้นเยอะอะ )


-  1. องศ์ชายดอร์จี -  Dorji ลูกคนแรกเกิดจากเตกูลัน ผู้บัญชาการสำนักเลขาธิการและผู้บัญชาการ

            การทหาร จากปี ค.ศ. 1261 แต่ป่วยและเสียชีวิตตั้งแต่อายุยังน้อย 30 ปี


- 2. มกุฏราชกุมารเจินจิน - Zhenjin เสียชีวิตด้วยโรคพิษสุราเรื้อรังเมื่อวันที่ 5 มกราคม 1286 แปดปี

            ก่อนที่กุบไลข่าน จะสวรรคต ทำให้ลูกชายของเขาหรือหลานของกุบไลข่าน ขึ้นเป็นจักรพรรดิแทน


- 3. องศ์ชายแมงกาลา - Manggala เจ้าชายแห่งอันซี (安西王) และเจ้าชายแห่งฉิน (秦王) ได้รับ    

            มรดกเป็นเขตแดนมากมายอย่าง อาณาจักรตังกุต เสฉวน และส่วนหนึ่งของทิเบต


- 4. องศ์ชายนมูคัน - Nomughan เจ้าชายแห่งเป่ยจิง หรือปักกิ่ง


- 5. องศ์ชายโตกอน - Toghon จ้าชายแห่ง เจิ้นหนาน ผู้โจมตีได๋เวียด หรือเวียดนามในปัจจุบัน และ

            พ่ายแพ้จนไม่สามารถเข้าพบกุบไลข่านได้อีก จึงถูกย้ายไปที่ ยางโจวในปี 1291 ซึ่งเขาเสียชีวิต

            ในอีก 10 ปีต่อมา



 - หลังจากการแบ่งแยกของจักรวรรดิแล้ว เขาประกาศชื่อราชวงศ์ของจักรวรรดิว่า "หยวนผู้ยิ่งใหญ่"


 - เขาสืบทอดตำแหน่งต่อจาก มงค์ ข่าน ( Möngke ) พี่ชายของเขาในฐานะข่าน ในปี 1260 แต่ต้อง

    เอาชนะ บะเราะกะฮฺ ข่าน (Ariq Böke) น้องชายของเขาในสงครามกลางเมือง Toluid ซึ่งดำเนินไปจนถึง

    ปี 1264 จนสามารถขึ้นตำแหน่งได้อย่างมั่นคง และเหตุการณ์นี้เป็นจุดเริ่มต้นของการแยกตัวของ

    จักรวรรดิ


 - อำนาจที่แท้จริงของกุบไลจำกัดอยู่ที่จักรวรรดิหยวน และญาติอื่นๆก็มีอำนาจที่ต่างออกไปในอาณาจักร

    มองโกลที่เคยเป็นแผ่นเดียวกันมาก่อน และนับถือศาสนาต่างกัน


 - จักรวรรดิมองโกลในเวลานั้น  อาณาจักรของเขาแผ่ขยายตั้งแต่มหาสมุทรแปซิฟิกไปจนถึงทะเลดำ 

    จากไซบีเรียจนถึงอัฟกานิสถานในปัจจุบัน


 - ในปี ค.ศ. 1271 กุบไลได้ก่อตั้งราชวงศ์หยวนและอ้างสิทธิ์อย่างเป็นทางการในการสืบราชสันตติวงศ์

    ดั้งเดิมจากราชวงศ์จีนก่อนหน้า ได้โค่นอำนาจราชวงศ์ซ่งลงเปิดศักราชชาวมองโกลครองประเทศจีน


 - ราชวงศ์หยวนเข้ามาปกครองจีนส่วนใหญ่ในปัจจุบัน มองโกเลีย เกาหลี ไซบีเรียตอนใต้ และพื้นที่

    ใกล้เคียงอื่นๆ นอกจากนี้เขายังสะสมอิทธิพลในตะวันออกกลางและยุโรปในฐานะ จักรพรรดิและ

    ผู้ที่ปกครอง


 - การพิชิตราชวงศ์ซ่งของหยวนเสร็จสมบูรณ์และกุบไล ข่าน กลายเป็นจักรพรรดิที่ไม่ใช่ชาวฮั่นพระองค์

    แรกที่ปกครองประเทศจีนทั้งหมด แบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด


 - ในยุคสมัยของกุบไล ข่าน มีนักเดินทางสำรวจชาวตะวันตกมากมายเดินทางมาถึงดินแดนของราชวงศ์

    หยวนของกุบไล ข่าน นักเดินทางที่มีชื่อเสียงคนนึงมีชื่อว่า มาร์โค โปโล


 - ในยุคสมัยของกุบไล ข่าน นั้นมีความพยายามจะเข้าตี  ญี่ปุ่น พม่า( ได้มาบางส่วน ) แถบล้านนาของไทย

 ( ได๋เวียดและจามปา) เวียดนาม และ ชวา (อินโดนีเซีย) แต่ไม่ประสบความสำเร็จ




วันเสาร์ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2566

เจงกิสข่าน ผู้ยิ่งใหญ่ของมองโกล และโลก (Genghis Khan)

 


เจงกิสข่าน ผู้ยิ่งใหญ่ของมองโกล และโลก (Genghis Khan)

เจงกิสข่าน ผู้ยิ่งใหญ่ของมองโกล และโลก (Genghis Khan)


เจงกิสข่าน ผู้ยิ่งใหญ่ของมองโกล และโลก (Genghis Khan)



 - เจงกิสข่านเป็นผู้ก่อตั้งและจักรพรรดิ์ผู้ยิ่งใหญ่ เป็นอาณาจักรที่อยู่ติดกันที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์

หลังจาก ความตายของเขา


 - ประสูติ ค.ศ. 1162 – 25 สิงหาคม ค.ศ. 1227 นามว่า เตมูจิน


 - มีอำนาจโดยการรวมชนเผ่าเร่ร่อนหลายแห่งในทุ่งหญ้ามองโกล เป็นผู้ปกครองเผ่าทั้งหลายถูกเรียก

ว่าข่าน หรือเจงกิสข่าน 


 - บุคคลสำคัญที่รวมชนเผ่าในเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือส่วนใหญ่อยู่ภายใต้การควบคุมของเขา 


 - พิชิตพื้นที่ส่วนใหญ่ของยูเรเซียบุกเข้ามาไกลออกไปทางตะวันตก เลกนีซา  เป็นเมืองทางตะวันตกเฉียงใต้

ของโปแลนด์ และไกลออกไปทางใต้ถึงฉนวนกาซา


 - เขาเปิดศึกกับอาณาจักร Qara Khitai คาราคิไต (เหลียวตะวันตก) , Khwarazmian จักรวรรดิควาราซเมียน

หรือควาเรซเมียนเป็นอาณาจักรมุสลิมสุหนี่สไตล์เตอร์โก-เปอร์เซีย  ซึ่งปกครองพื้นที่ส่วนใหญ่ของเอเชียกลาง

ในปัจจุบัน อัฟกานิสถาน และอิหร่าน  , เซี่ยตะวันตก บริเวณที่ปัจจุบันเป็นเขตกานซู ชิงไห่ ซินเจียง

 มองโกเลียนอก มองโกเลียใน ส่านซี และหนิงเซี่ย ของจีน


 - เข้าทำศึกยึด ราชวงศ์จินถูกมองโกลนำกำลังทหารเข้ายึดไคฟงได้สำเร็จ ในปี ค.ศ. 1234 (พ.ศ. 1777)

 และบรรดาลูกหลานของเขาได้บุกเข้าไปถึง จอร์เจียยุคกลาง,Circassia ซีร์คัสเซีย


 - เข้ายึดโวลก้าบัลแกเรียหรือโวลก้า–คามาบัลแกเรีย ปัจจุบันคือรัสเซียยุโรป ในเดือนกันยายน ค.ศ. 1223

 ใกล้ซามารา กองทหารรักษาการณ์ล่วงหน้าของกองทัพเจงกิสข่านภายใต้คำสั่งของอูราน บุตรชายของ 

ซูบูไต ได้เข้าตีโวลก้าบัลแกเรียแต่พ่ายแพ้ในสมรภูมิซามาราเบนด์ ในปี ค.ศ. 1236 พวกมองโกลกลับมา

อีกครั้ง ในห้าปีก็ปราบปรามทั้งประเทศ ซึ่งขณะนั้นโวลก้าบัลแกเรียกำลังเดือดร้อนจากสงครามภายใน

โวลก้าบัลแกเรียได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของ Ulus Jochi (อูลุส โจชิ)ซึ่งต่อมารู้จักกันในชื่อ Golden Horde

 (โกลเดนฮอร์ด)


 - จักรวรรดิรุสเคียฟ ในที่สุดก็ตกเป็นของของมองโกลในช่วงกลางศตวรรษที่ 13


 - ความสำเร็จทางทหารที่โดดเด่นของเขาทำให้เจงกิสข่านเป็นหนึ่งในผู้พิชิตที่สำคัญที่สุดตลอดกาล


 - เมื่อชีวิตของข่านผู้ยิ่งใหญ่จบลง จักรวรรดิมองโกลยึดครองเอเชียกลางและจีนในปัจจุบันเป็นส่วนใหญ่


 - เจงกิสข่านและเรื่องราวการพิชิตของเขามีชื่อเสียงอันน่าสะพรึงกลัวในประวัติศาสตร์ท้องถิ่น เพราะมัน

มาซึ่งเป็นผลให้เกิดการทำลายล้างซึ่งนำไปสู่การลดจำนวนประชากรลงอย่างมากในบางภูมิภาค 

( บางพื้นที่มีการต่อต้านที่รุนแรง จึงถูกล้างเมือง )


 - นอกเหนือจากความสำเร็จทางทหารของเขาแล้ว ความสำเร็จด้านพลเรือนของเจงกิสข่านยังรวมถึง

การจัดตั้งกฎหมายมองโกลและการนำอักษรอุยกูร์มาใช้เป็นระบบการเขียนทั่วดินแดนอันกว้างใหญ่ของเขา


 - ชาวมองโกเลียในปัจจุบันถือว่าเขาเป็นบิดาผู้ก่อตั้งมองโกเลียในการรวมชนเผ่าเร่ร่อนในทุ่งหญ้า

และเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือให้เป็นหนึ่งเดียว


 - เจงกิสข่านเสียชีวิตภายในแปดวันหลังจากเริ่มการรบครั้งสุดท้ายของเขากับเซี่ยตะวันตกในวันที่ 

18 สิงหาคม ค.ศ. 1227 วันที่เสียชีวิตของเขาจึงกล่าวกันว่าตรงกับวันที่ 25 สิงหาคม ค.ศ. 1227

สาเหตุที่แท้จริงของการเสียชีวิตของเขายังคงเป็นปริศนา และมีสาเหตุหลายประการจากความเจ็บป่วย

 การถูกฆ่าในสนามรบหรือจากบาดแผลจากการสู้รบ


 - ตามประวัติลับของชาวมองโกล เจงกิสข่านตกจากหลังม้าขณะล่าสัตว์และเสียชีวิตเนื่องจากอาการบาดเจ็บ


 - พงศาวดาร Galician–Volhynian ของโปแลนด์ มีการบันทึกไว้ว่า เขาถูกสังหารโดยกองทัพเซี่ยตะวันตกในสนามรบ


 - มาโค โปโล Marco Polo เขียนว่าเขาเสียชีวิตหลังจากการติดเชื้อจากบาดแผลลูกศรที่เขาได้รับระหว่าง

การศึกครั้งสุดท้าย 


 - แต่ก็มีการศึกษาวิจัยในยุคหลังที่บอกไว้ว่า เจงกิสข่าน อาจเสียชีวิตจากกาฬโรค เป็นสายพันธุ์ของโรค

ระบาดที่มีอยู่ใน เซี่ยตะวันตก ณ เวลานั้น


 - หลังจากที่เขาเสียชีวิต ร่างของเขาถูกส่งกลับไปยังมองโกเลียและสันนิษฐานว่าไปยังบ้านเกิดของเขา

ใน เฮ็นตี เป็นหนึ่งใน 21 จังหวัด ของมองโกเลีย ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันออกของประเทศ


 - ก่อนที่เจงกิสข่าน จะเสียชีวิต เขามอบหมายให้ Ögedei Khan เป็นผู้สืบทอดตำแหน่ง ขึ้นครองราชสมบัติ

เป็นข่านแทนเจงกิสข่าน เมื่อ 13 กันยายน ค.ศ. 1229 


 - ต่อมา หลานชายของเขาได้แยกอาณาจักรของเขาออกเป็นอาณาจักรข่าน ลูกหลานของเขาขยาย

จักรวรรดิมองโกลไปทั่วยูเรเซียส่วนใหญ่โดยการพิชิต จีน ราชวงศ์หยวน เกาหลี คอเคซัส เอเชียกลาง 

และส่วนใหญ่ของยุโรปตะวันออกและเอเชียตะวันตกเฉียงใต้


 - กองทหารมองโกลยังประสบความสำเร็จในสงครามปิดล้อม ตัดทรัพยากรของเมืองและเมืองโดย

เปลี่ยนเส้นทางแม่น้ำบางสาย จับเชลยข้าศึกและนำพวกเขาไปนำหน้ากองทัพ และรับเอาแนวคิด 

เทคนิค และเครื่องมือใหม่ๆ จากผู้คนที่พวกเขาพิชิต ใช้งานช่างเครื่องกลและวิศวกรมุสลิมและจีน

เพื่อช่วยกองทหารม้ามองโกลในการยึดเมืองต่างๆ


 - ยุทธวิธีอีกอย่างหนึ่งของกองทัพมองโกลคือการแสร้งทำเป็นถอยหนีเพื่อทำลายรูปแบบของข้าศึก

และหลอกล่อข้าศึกกลุ่มเล็ก ๆ ให้ออกห่างจากกลุ่มใหญ่ จากนั้นก็ทำการซุ่มโจมตีและโจมตีโต้กลับ


 - สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งขององค์กรทางทหารของเจงกิสข่านคือเส้นทางการส่งข่าวและเสบียงอาหาร

 เขาทุ่มเทให้กับการสร้างหน่วยข่าวงกรองรวบรวมข่าวสารต่างๆ ทั่วอาณาจักรเพื่อทำการศึก


 - จักรวรรดิมองโกลได้แผ่ขยายตั้งแต่ทะเลดำไปจดมหาสมุทรแปซิฟิก โดยทั้งหมดเริ่มที่จีนตอนเหนือ

 เปอร์เซีย  จนถึงสุดขอบทะเลตะวันออกกลาง 



 - พื้นที่ ที่เจงกิสข่าน ยึดได้นั่นตอนยังมีชีวิตอยู่ ฝั่งตะวันออก ตอนเหนือของจีน จรดญี่ปุ่น 

( บุกญี่ปุ่นแล้วโดนพายุ พ่ายแพ้ ) ฝั่งตะวันตกนั้น ยาวไปจนถึง ปลายประเทศคาซัคสถานในปัจจุบัน

จนถึงจะงอยของอิหร่าน หรือเปอร์เซีย ติดทะเลแคสเปี้ยน ด้านบนแถบตอนล่างของรัสเซีย ทางใต้นั้น

แถบ อัฟกานิสถาน ปากีสถาน  


 - พื้นที่หลังจาก เจงกิสข่านจากไปแล้ว บุกทำศึกโดยลูกหลานของ เจงกิสข่านจนสุดไปที่ ทะเลโอคอตสค์

 ตามชายฝั่ง ยาวมาจนถึงเกาหลี ทะเลญี่ปุ่น จีนทั้งแผ่นดิน บางส่วนของ เวียดนาม ลาว พม่า ในปัจจุบัน

 เลาะผ่าน ปากีสถาน เทือกเขาหิมาลัย อัฟกานิสถาน เปอร์เซีย ( แต่ไม่แวะเข้าอนุทวีปอินเดียนะ )

ครึ่งนึงของเติร์ก ตรุกีในปัจจุบัน อาเซฮไบจาน จอร์เจีย แทบทะเลดำ โดนหมด แล้วก็ลากข้ามไปในยุโรป

 ที่เป็นที่ตั้งของ บางส่วนในโปแลนด์ รวมถึงที่ตั้งของ โรมาเนีย รัสเซีย เบลารุส ยูเครน


ตามที่ แผนที่  นี้เลย จากนั้นด้วยอาณาจักรที่ใหญ่และลูกหลานแบ่งการปกครองก็แยกเป็นการปกครอง

ตัวเองกันไป ที่จริงเคยบุกมาถึงล้านนา ด้วยนะสมัยก่อนแต่ต้องถอยกลับไป เก่งน่าดู บวกกับสภาพพื้นที่

ไม่คุ้นเคยมากถึงว่าไม่คิดแวะเข้าอินเดียเลยช่วงนั้น ป่าดิบเพียบ แค่ขึ้นเรือไปญี่ปุ่นก็เละเทะแล้ว พี่แก

ไปสู้ถึงอิตาลี อียิปต์ก็ไปเด้อ ลูกหลานแยกไปเป็น 


 - จักรวรรดิข่านชากาไต มีอาณาบริเวณตั้งแต่แม่น้ำอามูดาร์ยา (Amu Darya) ทางใต้ของทะเลอารัลไป

จนถึงเทือกเขาอัลไตในบริเวณเขตแดนที่ปัจจุบันคือมองโกเลียและจีน


 - โกลเดนฮอร์ด ปัจจุบันคือบริเวณรัสเซีย, ยูเครน, มอลโดวา, คาซัคสถาน, และ คอเคซัส  จากไซบีเรีย

และเอเชียกลางไปยังบางส่วนของยุโรปตะวันออก จากเทือกเขาอูราลถึงแม่น้ำดานูบทางทิศตะวันตก

 และจากทะเลดำถึงทะเลแคสเปียนทางตอนใต้ ขณะที่มีพรมแดนติดกับเทือกเขาคอเคซัสและ ดินแดน

ของราชวงศ์มองโกลที่เรียกว่า จักรวรรดิข่านอิล 


 - จักรวรรดิข่านอิล รอบคลุมพื้นที่ในตะวันออกกลาง บริเวณประเทศอิหร่านในปัจจุบันเป็นส่วนใหญ่ 

ดินแดนอยู่ในส่วนที่ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของประเทศอิหร่าน อาเซอร์ไบจาน และตุรกี อิรัก เรีย อาร์เมเนีย

 จอร์เจีย อัฟกานิสถาน เติร์กเมนิสถาน ปากีสถาน ส่วนหนึ่งของทาจิกิสถาน นับถือศาสนาอิสลาม ในช่วง

ทศวรรษที่ 1330 ถูกทำลายโดยกาฬโรค


 - ราชวงศ์หยวน ก่อตั้งขึ้นเมื่อกุบไลข่านผู้นำเผ่าชาวมองโกล ได้โค่นอำนาจราชวงศ์ซ่งลงได้ยึดแผ่นดินจีน

ได้รวบรัดทั้งหมด ธิเบต. เกาหลี จรดทะเลญี่ปุ่น ตอนใต้ของรัสเซียในปัจจุบันฝั่งเอเชีย และบางส่วนของ

พม่า