หน้าเว็บ

วันจันทร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2565

จูเซปเป ปีอัซซี Giuseppe Piazzi (ผู้ค้นพบดาวเคราะห์น้อย)

 


จูเซปเป ปีอัซซี Giuseppe Piazzi (ผู้ค้นพบดาวเคราะห์น้อย)

จูเซปเป ปีอัซซี Giuseppe Piazzi (ผู้ค้นพบดาวเคราะห์น้อย)



จูเซปเป ปีอัซซี ( Giuseppe Piazzi ) ปีอัซซีเป็นผู้ค้นพบซีรีส ดาวเคราะห์น้อยดวงแรกเมื่อวันที่ 1 มกราคม

 ค.ศ. 1801

จูเซปเป ปีอัซซี Giuseppe Piazzi (ผู้ค้นพบดาวเคราะห์น้อย)



 - จูเซปเป ปีอัซซี เกิดวันที่ 16 กรกฎาคม  1746 ที่ Ponte in Valtellina ในประเทศอิตาลี 



 - เป็นนักดาราศาสตร์และนักคณิตศาสตร์ชาวอิตาลี



 - จูเซปเป ปีอัซซี ได้ค้นพบดาวเคราะห์น้อยดวงแรก ที่ชื่อว่า ซีรีส เป็นดาวเคราะห์ เป็นดาวเคราะห์น้อย

ดวงใหญ่ที่สุดและเป็นดาวเคราะห์แคระดวงเดียวในระบบสุริยะชั้นใน



 - ตั้งตามชื่อซีรีส เทพีโรมันแห่งการปลูกพืช เก็บเกี่ยวและความรักอย่างมารดา



 - ซีรีสมีเส้นผ่าศูนย์กลางราว 950 กิโลเมตรและประกอบด้วยมวลหนึ่งในสามของมวลทั้งหมดในแถบ

ดาวเคราะห์น้อย



 - เดิมเขาได้เสนอชื่อ  เซเรเร แฟร์ดีนันเดอา (Cerere Ferdinandea) สำหรับการค้นพบของเขา ตามชื่อ

เทพในตำนานเทพปกรณัมเซเรส (เทพีโรมันแห่งเกษตรกรรม ภาษาอิตาลีว่า เซเรเร) และ

พระเจ้าเฟอร์ดินันที่ 3 แห่งซิซิลี  ไม่ได้รับการยอมรับต่อชาติอื่นในโลก



 - *ดาวเคราะห์แคระ เป็นดาวชนิดหนึ่ง มีลักษณะคล้ายดาวเคราะห์ ตามการจำแนกชนิดดาวเคราะห์

ที่เสนอโดยสหพันธ์ดาราศาสตร์สากล


นิยามของดาวเคราะห์แคระ



1.อยู่ในวงโคจรรอบดาวฤกษ์ แต่ตัวมันเองไม่ใช่ดาวฤกษ์



2.มีมวลพอเพียงที่จะมีแรงโน้มถ่วงของตัวเอง เพื่อเอาชนะแรง rigid body forces ทำให้รูปทรงมีสมดุล

ไฮโดรสแตติก (เกือบเป็นทรงกลมสมบูรณ์)



3.ไม่สามารถควบคุมแรงดึงดูดและวงโคจรของสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่รอบวงโคจรของมัน



4.ไม่ใช่ดวงจันทร์บริวาร



 - ซึ่งซีรีสก็เป็น 1 ในดาวเคราะห์แคระ



 - ดาวเคราะห์น้อย  คือวัตถุทางดาราศาสตร์ขนาดเล็กกว่าดาวเคราะห์ แต่ใหญ่กว่าสะเก็ดดาว  

( ซีรีส ที่ จูเซปเป ปีอัซซี ค้นพบก็จัดอยู่ในดาวเคราะห์น้อยด้วยเช่นกัน)



 - ปี ค.ศ. 1803 จูเซปเป ปีอัซซี ก็ไดรับรางวัล Lalande Medal เกี่ยวกับนักวิทยาศาสตร์ผู้การพัฒนา

ในด้านดาราศาสตร์ จากสถาบันวิทยาศาสตร์ฝรั่งเศส



 - จูเซปเป ปีอัซซี เชียชีวิต ในวันที่ 22 กรกฎาคม ปี ค.ศ. 1826 เมื่ออายุได้ 80 ปี นับว่าเขาเป็นบุคคลสำคัญ

ในการค้นพบดาวเคราะห์น้อยดวงแรกในอวกาศของเรา



 - ในปี ค.ศ. 1923 ได้มีการค้นพบ 1,000 ดวง ซึ่งอยู่ในแถบดาวเคราะห์น้อยระหว่างวงโคจรของดาวอังคาร

กับดาวพฤหัสบดี ชื่อของ จูเซปเป ปีอัซซี จึงได้รับเกียรติให้เป็นชื่อของดวงที่ 1 พันว่า 1000 Piazzia 

ตามชื่อเขา ผู้ซึ่งค้นพบซีรีส ดาวเคราะห์น้อยดวงแรก




วันพุธที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2565

จอห์น เฮอร์เชล John Herschel ( ผู้คิดค้นกระบวนการไซยาโนไทป์ )

 


จอห์น เฮอร์เชล ( ผู้คิดค้นกระบวนการไซยาโนไทป์ )

จอห์น เฮอร์เชล ( ผู้คิดค้นกระบวนการไซยาโนไทป์ )



จอห์น เฮอร์เชล ( John Herschel)



 - จอห์น เฮอร์เชล ( John Herschel) บุตรชายของนักดาราศาสตร์ชื่อดังผู้ค้นพบ ดาวยูเรนัส 

วิลเลียม เฮอร์เชล  William Herschel


จอห์น เฮอร์เชล John Herschel ( ผู้คิดค้นกระบวนการไซยาโนไทป์ )



 - จอห์น เฮอร์เชล เกิดในวันที่ 7 มีนาคม ค.ศ. 1792  Slough,ในบาร์กเชอร์ ประเทศอังกฤษ 



 - จอห์น เฮอร์เชล เป็นนักคณิตศาสตร์ นักเคมี นักประดิษฐ์ และดาราศาสตร์ชาวอังกฤษ ซ้ำยังมี

ความชำนาญประสบการณ์เกี่ยวกับการถ่ายภาพการเป็นช่างภาพ



 - ทั้งพ่อและ อาของเขา วิลเลียม และแคโรไลน์ เฮอร์เชล มีบทบาทสำคัญในการอบรมดูแลสั่งสอน

เขาให้มีความสามารถรอบตัวเรื่องทั้งเรื่องดาราศาสตร์และดนตรีอีกด้วย



 - ผลงานในวัยเรียนของเขานั้นรับการศึกษาในปี 1813 ด้วยผลคะแนนอันดับ 1 



 - จอห์น เฮอร์เชล (John Herschel) นักคณิตศาสตร์ และดาราศาสตร์ชาวอังกฤษ เป็นผู้คิดค้นกระบวนการ

ไซยาโนไทป์ (Cyanotype) ที่เป็นต้นแบบของกระบวน พิมพ์เขียว (Blue Print) ที่พัฒนาต่อกันมาใช้ในการ

ทำสำเนาแบบพิมพ์เขียว หรือ กระดาษคาร์บอน พิมพ์ดีด ที่ใช้กันในปัจจุบันนี้ 



 - นอกจากนั้นยังเป็นผู้บัญญัติศัพท์ที่ใช้ในทางการถ่ายภาพ คือคำว่า “photograph” “negative” 

และ “positive” 



 - จอห์น เฮอร์เชล ยังคิดค้นกระบวนการถ่ายภาพ คิดค้น น้ำยาคงสภาพภาพ (photographic fixer) 

โดยใช้สาร hyposulphite of soda หรือ hypo 



 - เขาเป็นบุคคลสำคัญที่เริ่มทำงานเกี่ยวกับเรื่อง ไซยาโนไทป์เพราะ ในสมัยนั้นการบันทึกข้อมูลต้อง

เขียนด้วยลายมือ ถ้าต้องการสำเนาก็ต้องคัดลอกซ้ำให้เหมือนเดิม ทำให้สิ้นเปลืองเวลามาก



 - เขาได้รับรางวัลเหรียญทองจาก สมาคมดาราศาสตร์แห่งราชสำนัก



 - ไดรับ Lalande Medal เกี่ยวกับนักวิทยาศาสตร์ผู้การพัฒนาในด้านดาราศาสตร์ จากสถาบันวิทยาศาสตร์ฝรั่งเศส



 - ได้รับรางวัล Copley Medal สิ่งพิมพ์ที่เกี่ยวกับปรัชญาการจัดการ ในปี 1821 โดยราชสมาคมแห่งลอนดอน



 - รางวัล Royal Medal (1836, 1840) หรือที่รู้จักกันในชื่อ The Queen's Medal โดยราชสมาคมแห่งลอนดอน



 - รางวัล Knight of the Royal Guelphic Order



 - เขามีภรรยา ชื่อ Margaret Brodie Stewart



 - จอห์น เฮอร์เชล เสียชีวิตในวันที่ 11 พฤษภาคม  1871 ที่  เคนต์ มณฑลในอังกฤษในสหราชอาณาจักร

ที่ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของสหราชอาณาจักร และเป็นหนึ่งใน “มณฑลรอบนครลอนดอน” 





วันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2565

จอห์น เบวิส John Bevis

 


จอห์น เบวิส John Bevis 

จอห์น เบวิส John Bevis 


 - จอห์น เบวิส เกิดในวันที่ 10 พฤศจิกายน ค.ศ. 1695 โอลด์ซารัม วิลท์เชอร์

จอห์น เบวิส John Bevis


 - จอห์น เบวิส เป็นแพทย์และนักดาราศาสตร์ชาวอังกฤษ 


 - เขาเป็นที่รู้จักกันอย่างดีในฐานะที่เป็นผู้ค้นพบเนบิวลาปู  Crab Nebula ในปี ค.ศ. 1731 


 - เนบิวลาปูเป็นซากซูเปอร์โนวาและเนบิวลาลมพัลซาร์ในกลุ่มดาววัว เนบิวลานี้ได้รับการสังเกตโดย

จอห์น เบวิส ในปี พ.ศ. 2274 ซึ่งสอดคล้องกับการบันทึกเหตุการณ์ซูเปอร์โนวาสว่างโดยนักดาราศาสตร์

ชาวจีนและชาวอาหรับใน พ.ศ. 1597


 - เบวิสยังได้สังเกตการบังดาวพุธของดาวศุกร์เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม ค.ศ. 1737 ตลอดจนถึงสังเกต

และค้นพบกฎการทำนายการเกิดสุริยุปราคาของดวงจันทร์ของดาวพฤหัสบดี



 - จากการเฝ้าสังเกตุด้วยกล้องโทรทรรศน์ของเขาในสโตคเนวิงตัน มิดเดิลเซ็กส์ เขาได้รวบรวมบัญชี

รายชื่อดาวฤกษ์ชื่อว่า Uranographia Britannica ราว ค.ศ. 1750



 - ปี 1757 จอห์น เบวิส ได้ตีพิมพ์ The History and Philosophy of Earthquakes ที่ซึ่งได้รวบรวมไว้

ตามคำบอกเล่าใน แผ่นดินไหวที่ลิสบอนประกอบกับหลายสิ่งหลายอย่างที่น่าเชื่อถือของข้อมูล

ที่เขาพิจารณาแล้ว



 - จอห์น เบวิส ได้ถูกเลือกให้เข้ามาอยู่ในราชสมาคมแห่งลอนดอน ในเดือน พฤศจิกายน ปี 1765 



 - จอห์น เบวิส นับว่าเป็นบุคคลสำคัญที่ทำให้ คนรุ่นหลังวได้ศึกษาเกี่ยวกับเนบิวล่าปูซึ่งปูทางไปสู่

การศึกษาดาวฤกษ์ต้นกำเนิดซูเปอร์โนวา



 - จอห์น เบวิส เสียชีวิตในวันที่ 6 พฤศจิกายน ค.ศ. 1771




วันเสาร์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2565

โทมัส ไรท์ ( Thomas Wright )

 


โทมัส ไรท์ ( Thomas Wright ) 

โทมัส ไรท์ ( Thomas Wright ) 


โทมัส ไรท์ ( Thomas Wright ) มีอาชีพเป็น นักคณิตศาสตร์ นักดาราศาสตร์ สถาปนิก นักออกแบบสวน

 นักดาราศาสตร์ นักประดิษฐ์ ( ถ้าข้อมูลไม่ผิดน่าจะประดิษฐ์เครื่องดนตรี )

โทมัส ไรท์ ( Thomas Wright )


 - โทมัส ไรท์ เกิดในวันที่ 22 กันยายน ค.ศ. 1711 เป็นชาวอังกฤษ เกิดที่  Byers Green ใน County Durham



 - เป็นผู้แรกที่วาดภาพสัณฐานรูปร่างของดาราจักรทางช้างเผือก (Milky Way) ** ทางช้างเผือก คือ

ดาราจักรที่มีระบบสุริยะและโลกของเราอยู่ ส่วนที่สว่างที่สุดของทางช้างเผือกอยู่ในกลุ่มดาวคนยิงธนู 

ซึ่งเป็นทิศทางไปสู่ใจกลางดาราจักร



 - และเป็นผู้ตั้งสมมุติฐานว่า เนบิวลาจางๆ ที่ปรากฏบนท้องฟ้านั้นคือดาราจักรที่อยู่ห่างไกล *** 

เนบิวลา หมายถึง "หมอก" เป็นกลุ่มเมฆหมอกของฝุ่น แก๊ส และพลาสมาในอวกาศ เดิมคำว่า 



"เนบิวลา" เป็นชื่อสามัญ ใช้เรียกวัตถุทางดาราศาสตร์ที่เป็นปื้นบนท้องฟ้าซึ่งรวมถึงดาราจักรที่อยู่

ห่างไกลออกไปจากทางช้างเผือก



 - ผลงานที่ทำให้ โทมัส ไรท์ เป็นที่รู้จักมากที่สุดคือ An original theory or new hypothesis of 

the Universe (1750) เขาได้อธิบายภาพปรากฏของดาราจักรทางช้างเผือกว่าเป็น "ผลการมองเห็น

แสงของดาราจักรในมุมมองของเรา ซึ่งประมาณได้ว่าเป็นแผ่นจานของดาวฤกษ์" มีลักษณะเป็น

ดาราจักรชนิดก้นหอยธรรมดา แต่หลังจากผ่านการประเมินครั้งใหม่ก็พบว่าทางช้างเผือกน่าจะเป็น

ดาราจักรชนิดก้นหอยมีคานเสียมากกว่า



 - แนวคิดนี้ได้นำไปต่อยอด โดยอิมมานูเอล คานท์ ในผลงานเรื่อง Universal Natural History and 

Theory of Heaven  เขาได้วาดภาพดาราจักรในจินตนาการ ออกมาได้ใกล้เคียงความเป็นจริงอย่างมาก



 - ก่อน โทมัส ไรท์ จะปลดเกษียณจากงานที่เขาทำ County Durham เขาได้สร้างหอดูดาวเล็กๆไว้

ที่ Westerton



 - เป็นนักดาราศาสตร์ที่มีความสำคัญเป็นบุคคลสำคัญอีกคนนึงไม่แพ้นักดาราศาสตร์คนอื่นเช่น กาลิเลโอ

 หรือ โคเปอร์นิคัส เพราะเขาเป็นผู้แรกที่วาดภาพสัณฐานรูปร่างของดาราจักรทางช้างเผือก (Milky

 Way)ทำให้เรื่องราวการศึกษาทางดาราศาสตร์กว้างขึ้นและจับจุดกำเนิดที่โลกเราอยู่ได้อีกด้วย



 - โทมัส ไรท์ เสียชีวิตลงในวันที่ 25 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1786





วันพุธที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565

ยูเซน โบลต์ Usain Bolt

 


ยูเซน โบลต์  Usain Bolt

อดีตนักวิ่งระยะสั้นชาวจาเมกา โดยได้รับการยอมรับว่าเป็นนักวิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล 

เป็นเจ้าของสถิติโลกในการวิ่ง 100 เมตร, 200 เมตร และประเภทวิ่งผลัด 4 × 100 เมตร


ยูเซน โบลต์ : Usain St Leo Bolt


เกิดวันที่ 21 สิงหาคม ค.ศ. 1986 : เชียร์วูดคอนเทนท์ ประเทศจาเมกา


สูง 195 เซนติเมตร


เหรียญทอง โอลิมปิก 8 เหรียญ จาก


 - 100 เมตรชาย 2008 ที่ปักกิ่ง จีน


 - 200 เมตรชาย 2008 ที่ปักกิ่ง จีน


 - 100 เมตรชาย 2012 ที่ลอนดอน อังกฤษ


 - 200 เมตรชาย 2012 ที่ลอนดอน อังกฤษ


 - 4 × 100 เมตรชาย 2012 ที่ลอนดอน อังกฤษ


 - 100 เมตรชาย 2016 ที่ ริโอเดอจาเนโร บราซิล


 - 200 เมตรชาย 2016 ที่ ริโอเดอจาเนโร บราซิล


 - 4 × 100 เมตรชาย 2016 ที่ ริโอเดอจาเนโร บราซิล


เหรียญทอง World Championships 11 เหรียญ เหรียญเงิน 2 ทองแดง 1


 - 100 เมตร 2009 ที่เบอร์ลิน


 - 200 เมตร 2009 ที่เบอร์ลิน


 - 4 × 100 เมตร 2009 ที่เบอร์ลิน


 - 200 เมตร 2011 ที่แดกู 


 - 4 × 100 เมตร 2011 ที่แดกู 


 - 100  เมตร 2013 ที่มอสโกว


 - 200  เมตร 2013 ที่มอสโกว


 - 4 × 100  เมตร 2013 ที่มอสโกว


 - 100 เมตร 2015 ที่ปักกิ่ง


 - 200 เมตร 2015 ที่ปักกิ่ง


 - 4 × 100 เมตร 2015 ที่ปักกิ่ง


 - เหรียญเงิน 200 เมตร ที่โอซาก้า ปี2007


 - เหรียญเงิน 4 × 100  เมตร ที่โอซาก้า ปี2007


 - เหรียญทองแดง 100 เมตร ที่ลอนดอน 2017


World Athletics Relays 1 เหรียญเงิน 4*100 เมตร


ชนะ Diamond League 2012 100 เมตร


ชนะ CAC Championships 2005 200เมตร


ชนะ Commonwealth Games 2014 ที่ กลาสโกลว์ 4*100 เมตร


ที่ 2 World Cup 2006 ที่ เอเธอนส์


และระดับ เยาวชนต่างอีก 15 เหรียญทอง 3 เหรียญเงิน


พอเข้าปี 2008 มาได้หลุดจาเยาวชน ยู 20 มา โบลด์ ก็ ไร้เทียมทานมาตั้งแต่นั้นเกือบ 10 ปี 

ครองความยิ่งใหญ่มาอย่างยาวนาน คว้าแชมป์มากมาย



สกิติโลกที่น่าสนใจ


- 100 เมตร ในเวลา 9.58 วินาที เป็นสถิติโลก


- 150 เมตร 14.35 วินาที ที่ แมนเชสเตอร์


- 200 เมตร ในเวลา 19.19 วินาที สถิติโลก


- 300 เมตรในเวลา 30.97 วินาที ที่ ออสตราว่า


- 400 เมตร 45.28 วินาที ที่คิงสตัน จาเมกา


- 4 × 100 เมตร 36.84 วินาที  ลอนดอน อังกฤษ ในโอลิมปิก เป็นสถิติโลก 


เลิกแข่งในปี 2017 ปัจจุบันทำกิจกรรมมากมายหลายอย่างหลายวงการ ไม่ว่าจะเป็น มอเตอร์สปอต ดนตรี 


รางวัลและเกียรติยศที่ได้รับ.



- World Athlete of the Year 2008, 2009, 2011, 2012, 2013, 2016


- Track & Field Athlete of the Year นักกีฬากรีฑาแห่งปี นิตยสาร Track & Field News 2008, 2009


- Laureus World Sportsman of the Year: 2009, 2010, 2013, 2017


- BBC Sports Personality World Sport Star of the Year 2008, 2009, 2012


- L'Équipe Champion of Champions: 2008, 2009, 2012, 2015


- Jamaica Sportsman of the year: 2008, 2009, 2011, 2012, 2013


- AIPS Male Athlete of the Year: 2015 


- Marca Leyenda (2009)


วันศุกร์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565

อีวาโน่ บาลิช Ivano Balić

 



อีวาโน่ บาลิช Ivano Balić

อดีตแฮนด์บอลอาชีพชาวโครเอเชีย  ได้รับการโหวตห้าครั้งติดต่อกันในฐานะผู้เล่นทรงค่าที่สุด

ในการแข่งขันระดับนานาชาติที่สำคัญ และเป็นหนึ่งในสี่ผู้เล่นแฮนด์บอลชายที่ได้รับรางวัล 

IHF World Player of the Year ถึงสองครั้ง


อิวาโน่ บาลิช : Ivano Balić สูง 189 เซนติเมตร ตำแหน่ง Centre back 


เกิด 1 เมษายน 1979 สปลิต, เอสอาร์โครเอเชีย,ยูโกสลาเวีย


เขาได้รับการโหวตให้เป็นผู้เล่นแฮนด์บอลที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์จากการสำรวจออนไลน์ที่จัด

โดยสหพันธ์แฮนด์บอลนานาชาติ (IHF)


บาลิชเริ่มเล่นบาสเก็ตบอลกับ KK Split ก่อนจะมาเล่นแฮนด์บอล


ผลงานกับสโมสร


ปี 1995 เมื่อเพื่อนและโค้ชของพ่อที่ RK Split, Mate Bokan ในเวลานั้นแนะนำให้เขาเล่นแฮนด์บอล 

จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการรันวงการ แฮนด์บอลระดับโลกของเขา


เริ่มต้นอาชีพแฮนด์บอลกับอาร์เค โบรโดเมอร์คูร์ สปลิต (RK Brodomerkur Split ) ใน Croatian 

Handball Premier League 


ฤดูกาลแรกของเขา จบอันดับสองในลีกและเข้าสู่รอบรองชนะเลิศของ EHF Cup ซึ่งพวกเขาแพ้ 

THW Kiel และเล่นต่ออีก 3 ฤดูกาล จนถึงแชมป์และรอบชิงEHF Cup


ปี 2001 : ย้ายไปอยู่ที่ RK Metković Jambo ฤดูกาลแรกของเขาเริ่มต้นด้วยการคว้าแชมป์โครเอเชียคัพ

และลีกแชมเปี้ยนชิพ


ปี 2003 : เขากลายเป็นนักกีฬาแฮนด์บอลชาวโครเอเชียคนแรกที่ชนะรางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมแห่งปีของ

 IHF World และได้รับการโหวตให้เป็นมือสมัครเล่นยอดเยี่ยมแห่งปีของโครเอเชียในปี 2004


อีวาโน่ บาลิชย้ายไปพอร์ตแลนด์ ซานอันโตนิโอ ของสเปน ในปี 2004 เลือกซานอันโตนิโอเพื่อเล่นกับ

แจ็คสัน ริชาร์ดสัน ไอดอลของเขา


ปีแรกกับซานอันโตนิโอเขาช่วยให้สโมสรคว้าแชมป์ลีกและเข้าถึงรอบก่อนรองชนะเลิศของแชมเปี้ยนส์ลีก 


ในปีถัด ไปถึงรอบชิง แชมเปี้ยนส์ลีกครั้งแรกและครั้งเดียวแต่ก็ต้องพลาดไป


เขาได้รับรางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมแห่งปีของ IHF โลกในปี 2006 


ได้รับเลือกให้เป็นนักกีฬาโครเอเชียที่ดีที่สุดโดย Sportske novosti หนังสือพิมพ์กีฬารายวันของโครเอเชีย

ที่อยู่ในซาเกร็บ


ระหว่างปี 2008 ถึงปี 2012 : เล่นให้กับ RK CO Zagreb ซึ่งเป็นทีมยักษ์ใหญ่ของโครเอเชีย โดยได้แชมป์

โครเอเชียพรีเมียร์ลีกและโครเอเชียคัพอย่างละสี่สมัย


ปี 2012 : บาลิช ได้ย้ายไปสเปนอีกรอบ เพื่อเล่นให้กับแอตเลติโก มาดริด เขาอยู่ได้เพียงฤดูกาลเดียว 

แต่สามารถคว้าแชมป์ HF Super Globe และ Copa del Rey ขณะที่จบอันดับสองในลีกแชมเปียนชิพ


ปี 2013 ในช่วงบั้นปลาย บาลิชเซ็นสัญญากับทีม HSG Wetzlar ของเยอรมัน หลังจากใช้เวลาอยู่ที่นั่น

สองฤดูกาล บาลิชประกาศอำลาวงการแฮนด์บอลเมื่อต้นฤดูกาล 2014–15



ผลงานกับทีมชาติ


ปี 1998 บาลิชเริ่มเล่นให้กับทีมชาติโครเอเชียชุดยู-20 และยู-21 ในเวลาเดียวกัน ปีหน้าเขาถูกเรียกตัว

ไปเล่นให้ทีมชาติโครเอเชียชุดใหญ่ แต่ดันป่วยซะก่อนจึงไม่ได้เล่นในตอนนั้น


ปี 2000 ช่วงปลายปี ถูกเรียกตัวให้เข้าร่วมการแข่งขันชิงแชมป์โลกปี 2001 พลาดเจ็บระหวางซ้อม

ทำให้พลาดชิงแชมป์โลกที่ฝรั่งเศสไปอีก


แต่ ในปี 2001 เขาก็ได้ประเดิมให้กับทีมชาติชุดใหญ่เมดิเตอเรเนียนเกมส์ 2001 ที่ตูนิเซียซึ่งโครเอเชีย

ชนะที่หนึ่ง


ปี 2002 ลงเล่นในรายการ European Championship 2002 ที่ประเทศสวีเดน แต่ไม่ผ่านการเข้ารอบ 4 ทีม

สุดท้าย


ปี 2003 ในการแข่งขันชิงแชมป์โลก พวกเขาเข้าเป็นที่ 1 ของกลุ่มซี รอบ 2 ก็เข้าเป็นที่ 1 ของกลุ่ม 3 

ทำให้เข้าสู้รอบรอง ไปเจอ กับสเปน และเอาชนะไปได้ 39-37 ในช่วงต่อเวลา รอบชิงก็สามารถเอาชนะ

เยอรมัน ไปได้ 34-31 คว้าแชมป์แบบช็อกโลกในขณะนั้นเลยทีเดียว ส่งให้โครเอเชียคว้ามแชมป์โลกมาได้ 


ปี 2004  เขาติดทีมไปแข่ง European Championship 2004 ที่ประเทศสโลวีเนีย ไปถึงรอบรองแต่ก็ไป

พลาดท่าแพ้ สโลวีเนียเจ้าภาพ ไปชิงที่ 3 ก็แพ้เดนมาร์ก จบอันดับ 4 ของยุโรปตอนนั้น ปีนั้น อิวาโน่ บาลิช

 ติดทีมยอดเยี่ยม All-Star Team ของทัวร์นาเมนต์ด้วย ส่วนเพื่อนร่วมชาติอย่าง มีร์ซา ยอมบา 

ได้ท็อปสกอร์ โดนทำไป 46 ประตู


 จุดสูงสุดเกิดขึ้นในปี2004 เขาติดทีมไปแข่งโอลิมปิก 2004 ที่ เอเธนส์ รอบแรกชนะรวดเข้าที่ 1 รอบ 8 ทีม

 ผ่านกรีซเจ้าภาพ รอบรองเฉือนฮังการี่  จนไปถึงชิงเฉือนเยอรมัน เหมือนตอน แข่งชิงแชมป์โลก 2003 

มาได้ 26-24 คว้าเหรียญทองโอลิมปิกได้สำเร็จ เช่นเคยครั้งนี้ก็ติดทีม All Star Team เหมือนเคยและ

เป็นผู้เล่นที่ดีที่สุดในรายการนี้


ปี 2005 ชิงแชมป์โลก ที่ตูนิเซีย โครเอเชียได้อันดับสองที่แพ้สเปน บาลิชได้รับการโหวตให้เป็น MVP 

ของทัวร์นาเมนต์และเป็นผู้สร้างเกมที่ดีที่สุด


ปี 2006 แข่งขันชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปที่สวิตเซอร์แลนด์ โครเอเชียได้อันดับที่สี่บาลิชได้รับการโหวต

ให้เป็น MVP อีกครั้ง และยังเป็นผู้ทำประตูสูงสุดอันดับสี่ด้วย 43 ประตู


ปี 2006 ชนะการแข่งขัน Stratoil World Cup ในสวีเดนและเยอรมนี รอบชิงสามารถเอาชนะตูนีเซียไปได้


ปี 2007 การแข่งขันชิงแชมป์โลกที่ประเทศเยอรมนี โครเอเชียได้อันดับที่ 5 บาลิชก็ยังได้รับเลือกให้เป็น

 MVP อีกครั้ง 


ปี 2008 การแข่งขันชิงแชมป์ยุโรป โครเอเชียเข้าถึงรอบชิง แต่ไปแพ้เดนมาร์ก 24-20 เป็นเพียงรองแชมป์

 โดยบาลิช ติดทีม All-Star และยังได้ท็อปสกอร์ ร่วมกับ ลาร์ส คริสเตียนเซ่น และ นิโคล่า คาราบาติช 

ที่ 44 ประตู


บาลิชได้รับเลือกให้เป็น ผู้ถือธงของโครเอเชียในโอลิมปิกฤดูร้อน 2008 ที่ปักกิ่ง รายการนี้โครเอเชียจบ

ที่ 4 ไม่ได้เหรียญ 


ปี 2009 ชิงแชมป์โลกที่โครเอเชียบ้านตัวเอง ทั้งทัวร์ก่อนชิงไม่แพ้ใคร แต่นัดสุดท้ายกันแพ้ให้ฝรั่งเศส 

ที่พวกเขาเคยเอาชนะมาได้ตอนแข่งรอบแบ่งกลุ่มรอบ 2 มารอบชิง โครเอเชียแพ้ไป 24-19 ได้แค่ที่ 2 


ปี 2010  : ในการแข่งขันชิงแชมป์ยุโรป รอบชิงเชาแพ้ให้กับฝรั่งเศสอีกครั้ง 25-21


 ปี 2011 ได้อันดับที่ 5 ชิงแชมป์โลก


 ปี 2012 ได้ที่ 3 ชิงแชมป์ยุโรป และเหรียญทองแดง โอลิมปิก 2012 ที่ลอนดอน


และเลิกเล่นทีมชาติไปในปี 2013 


รางวัลกับสโมสร


- รองแชมป์ Croatian First A League 1997–98 กับทีม Split 


- รองแชมป์ Croatian First League 3 สมัย และ แชมป์ Croatian Cup 1 สมัย กับ Metković


- แชมป์ Liga ASOBAL 1 สมัย Supercopa ASOBAL 1 สมัยกับ San Antonio ในสเปน


- แชมป์ Dukat Premier League 4 สมัย Croatian Cup 4 สมัย กับZagreb


- รองแชมป์ Liga ASOBAL แชมป์ โคปาเดลเรย์ และ IHF Super Globe อย่างละ 1ครั้ง กับ แอตแลนติโก้ มาดริด


รางวัลส่วนตัว 


- IHF World Player of the Year: 2003, 2006 รางวัลที่มอบให้ทุกปีแก่ผู้เล่นที่ถือว่าทำผลงานได้ดีที่สุดในฤดูกาล


 ทั้งในระดับสโมสรและการแข่งขันระดับนานาชาติ ได้รับรางวัลจากการโหวตจากผู้เชี่ยวชาญ สื่อ และแฟน ๆ


- Franjo Bučar State Award for Sport: 2004 (two awards) ให้สำหรับความสำเร็จที่ไม่ธรรมดาและการ

มีส่วนร่วมของความหมายที่โดดเด่นสำหรับการพัฒนากีฬาในโครเอเชีย


- Best Croatian handballer: 2004, 2006, 2007, 2008 ผู้เล่นแฮนด์บอลโครเอเชียที่ดีที่สุด


- Croatian Sportsman of the Year: 2007 


- Star on Croatian walk of fame in Opatija: 2007


- Best Male Handball Player Ever – fans poll: 2010


- Trophy COC for inspiring youth: 2010


- นักกีฬาที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดประจำปี 2007 โดย: คณะกรรมการโอลิมปิกแห่งโครเอเชีย


-  Order of Danica Hrvatska with face of Franjo Bučar เหรียญที่สำคัญที่สุดของสาธารณรัฐโครเอเชีย

 ประเภทกีฬานั้นชื่อว่า Franjo Bučar ฟราโน บูคาร์ บุคคลสำคัญด้านกีฬา บิดาแห่งกีฬาโครเอเชียและ

โอลิมปิก  




วันอาทิตย์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565

อาร์โนลด์ พาล์มเมอร์ Arnold Daniel Palmer

 


อาร์โนลด์ พาล์มเมอร์ Arnold Palmer

นักกอล์ฟอาชีพชาวอเมริกันที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและมีเสน่ห์ที่สุด

ในประวัติศาสตร์ของกีฬาชนิดนี้ 


เกิด 10 กันยายน 1929 ลาโทรบ, เพนซิลเวเนีย, สหรัฐอเมริกา


ฉายา : The King


พาลเมอร์เป็นหนึ่งในดาราที่ได้รับความนิยมมากที่สุดของวงการกอล์ฟและถูกมองว่าเป็นผู้บุกเบิก 

ซูเปอร์สตาร์คนแรกในยุคโทรทัศน์ของวงการกีฬา ซึ่งเริ่มขึ้นในปี 1950


Turned pro เป็นมืออาชีพปี 1954


ได้แชมป์ PGA Tour : 62 สมัย เป็นอันดับ 5 ตลอดกาล รองจาก แซม สนีด - ไทเกอร์ วูดส์ - แจ็ค นิกคลอส

 - เบน โฮแกน 


- แชมป์แรก Canadian Open ปี 1955


- แชมป์ที่ 62 Bob Hope Desert Classic 1973


มีชื่ออยู่ใน World Golf Hall of Fame หอเกียรติยศกอล์ฟโลก


แชมป์ European Tour  2สมัย Spanish Open และ Penfold PGA Championship ปี 1975


Canadian Tour 1 สมัย Labatt's International Golf Classic ปี 1980


PGA Tour of Australasia 2 สมัย  : Wills Masters 1963 และ Australian Open 1966


Latin American 2 สมัย : Panama Open, Colombian Open 1956


Masters Tournament 4 สมัย


U.S. Open : 1960


The Open Championship : 1961, 1962


และแชมป์อื่นๆอีกมากมาย ในอาชีพ รวม 95 รายการ


เกียรติยศ ต่างๆ


World Golf Hall of Fame : 1974


PGA Tourleading money winner :1958, 1960, 1962, 1963 


PGA Player of the Year : ผู้เล่นยอดเยี่ยมแห่งปีของพีจีเอ 1960, 1962


Vardon Trophy : 1961, 1962, 1964, 1967


Sports Illustrated Sportsperson of the Year : 1960


Bob Jones Award : รางวัลเกียรติยศสูงสุดจากสมาคมกอล์ฟแห่งสหรัฐอเมริกาเป็นนักกีฬาที่โดดเด่น

ในวงการกอล์ฟ มันตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติแก่บ๊อบบี้โจน นักกอล์ฟที่ยิ่งใหญ่ที่สุดทั้งในระดับชาติและ

นานาชาติเขาเป็นบุคคลสำคัญผู้ให้กำเนิดกอล์ฟเดอะ มาสเตอร์และสนามกอล์ฟออกัสตา 

อาร์โนลด์ พาลเมอร์ได้รางวัลนี้ในปี 1971


Old Tom Morris Award : รางวัลสูงสุดของสมาคมผู้กำกับสนามกอล์ฟแห่งอเมริกาสำหรับความมุ่งมั่น

ในการเล่นกอล์ฟ 1983


รางวัลความสำเร็จตลอดชีพพีจีเอทัวร์ : PGA Tour Lifetime Achievement Award 1998


Payne Stewart Award : 2000


Presidential Medal of Freedom : เหรียญแห่งอิสรภาพของประธานาธิบดี คือเครื่องอิสริยาภรณ์สูงสุด

ของสหรัฐอเมริกาซึ่งประธานาธิบดีมอบเพื่อเป็นเกียรติคุณแก่ผู้รับซึ่งได้รับการพิจารณาว่าเป็น 

"ผู้อุทิศตนในการสร้างความั่นคงและสนับสนุนผลประโยชน์ของสหรัฐอเมริกา, สันติสุขของโลก,

 วัฒนธรรม และ งานอื่นๆ ทั้งของสาธารณชนและส่วนบุคคล อาร์โนลด์ พาลเมอร์ได้รางวัลนี้ในปี 2000


Congressional Gold Medal : เป็นรางวัลที่มอบให้โดยรัฐสภาแห่งสหรัฐอเมริกา เป็นการแสดงความชื่นชม

ระดับชาติสูงสุดของรัฐสภาสำหรับความสำเร็จและผลงานที่โดดเด่นของบุคคลหรือสถาบันต่างๆ เขาได้รับ

ในปี 2009 เพื่อเป็นเกียรติแก่การรับใช้ชาติในการส่งเสริมความเป็นเลิศและน้ำใจนักกีฬาที่ดี


26. พาลเมอร์เสียชีวิตเมื่อวันที่ 25 กันยายน 2016 (ไม่นานหลังจากวันเกิดปีที่ 87 ของเขา)  จากโรค

หัวใจ ในพิตต์สเบิร์ก รัฐเพนซิลเวเนีย





วันอังคารที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565

โคบี้ ไบรอันท์ (Kobe Bryant)

 


โคบี้ ไบรอันท์ (Kobe Bryant)

อดีตนักบาสเกตบอล ตำแหน่งชูตติ้งการ์ด  

ทีม ลอสแอนเจลิสเลเกอส์ ได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในผู้เล่นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่ง และเป็น

บุคคลสำคัญในวงการบาสเกตบอล เจ้าของตำแหน่งแชมป์เอ็นบีเอจำนวน 5 สมัย 


ผู้เล่นทรงคุณค่าประจำฤดูกาล 1 สมัย และ ผู้เล่นทรงคุณค่าในการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศอีก 2 สมัย 


เกิด : 23 สิงหาคม ค.ศ. 1978 ฟิลาเดลเฟีย, รัฐเพนซิลเวเนีย


โคบี้ บีน ไบรอันต์ : Kobe Bean Bryant


ฉายา : Black Mamba 


ตำแหน่ง : ชูตติ้งการ์ด รับหน้าที่ทำคะแนนและคุมผู้เล่นวงนอกที่เก่งที่สุดของของฝ่ายตรงข้าม  

ตำแหน่งเดี่ยวกับตำนานอย่าง ไมเคิล จอร์แดน (Michael Jordan) 


ส่วนสูง : 198 เซนติเมตร


NBA draft : ลำดับที่ 13, 1996 โดยทีม ชาล็อต ฮอร์เน็ตส์ (Charlotte Hornets)


ต้นสังกัดตั้งแต่ ปี 1996-2016 : ลอสแอนเจลิสเลเกอส์ (Los Angeles Lakers)


ผู้เล่นที่ทำคะแนนสูงที่สุดตลอดกาลให้แก่ทีมเลเกอส์ และ เป็นผู้เล่นตำแหน่งการ์ดคนแรกในลีก

ที่ลงเล่นอย่างน้อย 20 ฤดูกาลในเอ็นบีเอ 


แชมป์ 3 สมัยซ้อนกับเลเกอส์  : ปี 2000-02 ทีมยุคนั้นมี ฟิล แจ็คสัน  / โคบี ไบรอันต์ และ 

แชคิล โอนีลพาทีม เลเกอส์ได้แชมป์เอ็นบีเอ ถึง 3 ปีซ้อน ในปี 2000, 2001 และ 2002


แชมป์เอ็นบีเอ 5 สมัย : 2000, 2001 ,2002 2009 และ  2010 


รางวัลผู้เล่นทรงคุณค่า NBA รอบชิงชนะเลิศ : NBA Finals Most Valuable Player Award 2 สมัย 2009, 2010


NBA Most Valuable Player Award : รางวัลผู้เล่นทรงคุณค่าเอ็นบีเอ ปี2008


ติดทีม NBA All-Stars : 18 ครั้งจาก 20 ปีที่ลงแข่ง


NBA All-Star Game MVP  : ได้ถูกเปลี่ยนชื่อเป็นรางวัล Kobe Bryant เพื่อเป็นเกียรติให้ Kobe 

ที่เสียชีวิตไป ซึ่งโคบี้ก็เคยได้รางวัลนี้ 4 สมัย 2002, 2007, 2009, 2011 มากสุดเท่า Bob Pettit บ็อบ เพตติต


All-NBA First Team : เป็นการยกย่องนักบาสเกตบอลที่เก่งที่สุดในลีกเอ็นบีเอในแต่ละฤดูกาล 

โหวตโดยสมาชิกของสำนักข่าวเอพี  11 สมัย 2002–2004, 2006–2013


All-NBA Second Team : เหหมือนข้อบน แต่เป็นตัวทีม 2 ได้ 2 สมัย 2000, 2001


All-NBA Third Team  : 2 สมัย 1999, 2005


NBA All-Defensive First Team : เป็นรางวัลสำหรับทีมรับยอดเยี่ยมประจำปี ทีม 1 9 สมัย 2000, 2003,

 2004, 2006–2011


NBA All-Defensive Second Team : รางวัลสำหรับทีมรับยอดเยี่ยมประจำปี ทีม 2 สามสมัย 2001, 2002, 2012


NBA scoring champion : 2 สมัย 2006, 2007


NBA Slam Dunk Contest champion : 1997


NBA All-Rookie Second Team  : ดาวรุ่งยอดเยี่ยมทีม 2 1997


NBA 75th Anniversary Team : รับเลือกในปี 2021เพื่อเป็นเกียรติแก่การครบรอบ 75 ปีของการก่อตั้ง

สมาคมบาสเกตบอลแห่งชาติ (NBA)


Gatorade Player of the Year awards : รางวัลนักกีฬาเยี่ยมแห่งปีของ Gatorade มอบให้เป็นประจำ

ทุกปีเพื่อมอบให้กับนักกีฬาระดับมัธยมปลายในสหรัฐอเมริกา ได้ ปี1996


Naismith Prep Player of the Year Award : รางวัลนักกีฬาเยี่ยมแห่งปีของ Naismith บาสเกตบอล

ชาวแคนาดา โค้ชกีฬา รู้จักกันเป็นอย่างดีในฐานะผู้ประดิษฐ์เกมบาสเก็ตบอล 1996


เหรียญทอง โอลิมปิก 2 สมัย : 2008 / 2012

 

เหรียญทอง : FIBA Americas Championship 2007


มีชื่ออยู่ใน Basketball Hall of Fame as player


เสียชีวิตในอุบัติเหตุเฮลิคอปเตอร์ตกที่เมืองกาลาบาซัส รัฐแคลิฟอร์เนีย เมื่อวันที่ 26 มกราคม ค.ศ. 2020

 หนึ่งในผู้เสียชีวิตนั้นรวมถึงเจียนนา ลูกสาววัย 13 ปี ด้วย




วันศุกร์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565

มูฮัมหมัด อาลี Muhammad Ali

 


มูฮัมหมัด อาลี Muhammad Ali

ตำนานยอดนักมวยชาวอเมริกันในรุ่นเฮฟวี่เวท ตำนานและบุคคลสำคัญในวงการมวยโลก


ชื่อจริงแต่กำเนิด : เคสเซียส มาเซลลัส เคลย์ จูเนียร์ (Cassius Marcellus Clay Jr.) / 

เคสเซียส เคลย์ (Cassius Clay)


เกิด : 17 มกราคม  1942 ลุยส์วิลล์, สหรัฐอเมริกา,


อาลีเป็นนักวยคนแรกที่คว้าแชมป์โลกรุ่นเฮฟวี่เวทได้สามครั้ง : 


เริ่มชกมวยภายใต้การดูแลของตำรวจหลุยส์วิลล์ โจ มาร์ติน เมื่ออายุ12 ปี


ได้รับรางวัลเหรียญทองจากการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก 1960 ที่มีน้ำหนัก 175 ปอนด์ ที่กรุงโรม


ได้รับการยกย่องอย่างสูงในด้านเสน่ห์และบุคลิกของเขามากกว่าทักษะบนสังเวียน ตั้งแต่การก้าว

ขึ้นไปชกมวนสากลอาชีพครั้งแรก


ชกมวยอาชีพครั้งแรกเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 1960 


อาลีขึ้นชิงแชมป์โลกครั้งแรกกับ ซันนี ลิสตัน (Sonny Liston) เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 1964 เกจิดังๆ

คาดว่าเขาคงโดนต่อยร่วงแพ้แน่นอน แต่พลิกล็อค เขาดันชนะ แบบ "RTD" (Retried) ชนะน็อกโดยเทคนิค

 ฝ่ายลิสตันขอยอมแพ้ในยก 6 ไม่ออกมาชก ทำให้เขาหักปากกาเซียนคว้าแชมป์โลกครั้งแรกได้สำเร็จ


ในวันที่ 25 พฤษภาคม 1965 รีแมตช์กับ  ซันนี ลิสตัน เขาชนะน็อกเอาต์ยกแรก


และยังสามารถ เอาชนะ ฟลอยด์ แพตเตอร์สัน, จอร์จ ชูวาโล, เฮนรี คูเปอร์, ไบรอัน ลอนดอน และ

 คาร์ล มิลเดนแบร์เกอร์


น็อค คลีฟแลนด์ วิลเลียมส์ ในการชก 3 ยก โดยชกร่วงลงไป 4 ครั้ง และยังตามด้วยชนะ 

เออร์นี เทอร์เรลล์ และ โซรา ฟอลลีย์ 


ช่วง เมกา เปิดศึกและเกณฑ์ทหารเข้ารบกับเวียดกง อาลีไม่เห็นด้วยเขาได้เอ่ยวลีเด็ดออกมาว่า 

"ผมไม่เคยมีเรื่องราวอะไรกับพวกเวียดกง" (I ain't got no quarrel with them Viet Cong)


อาลีถูกดำเนินคดี ตัดสินให้จำคุก 5 ปี ปรับ 1 หมื่นดอลล่า ระหว่างที่เขาทำการยื่นอุทรณ์จะโดนห้ามชก 

ซึ่งทำให้ มาร์ติน ลูเธอ คิง นั้น ได้แสดงการต่อต้านสงครามเวียดนาม จากอิมแพคครั้งนี้อีกด้วย


ชกมวยประวัติศาสตร์หลายแมตช์ รวมถึงการชกมวยที่มีชื่อเสียงอย่าง Sonny Liston(ซันนี ลิสตัน)

 Joe Frazier (โจ เฟรเซอร์)


ชิงแชมป์ชนะ จอร์จ โฟร์แมน (George Foreman) 


ฉายาของ มูฮัมหมัดอาลี คือ 


 - The Greatest


 - The People's Champion


 - The Louisville Lip


 - Black Superman


 - สิงห์จอมโว


ส่วนสูง 191 เซนติเมตร


แชมป์โลก WBA​ WBC The Ring และ Lineal รุ่นเฮฟวีเวท


ชิงครั้งแรก ชนะ  :  ซอนนี ลิสตัน  ยก 6  คู่ชกคนแรกคือ ทันนีย์ ฮันเซเกอร์ 


ป้องกันได้ 8 ครั้ง กับ


 - ซอนนี ลิสตัน Sonny Liston


 - ฟลอยด์ แพทเทอร์สัน  Floyd Patterson


 - จอร์จ ชูวาโล George Chuvalo


 -  เฮนรี คูเปอร์​ Henry Cooper


 -  ไบรอัน ลอนดอน Brian London


 - คาร์ล มิลเดนแบร์เกอร์ Karl Mildenberger


 - เออร์นี เทอร์เรลล์ Ernie Terrell

 

 - โซรา ฟอลลีย์ Zora Folley และชิงแชมป์โลก WBA ใน​รุ่น​เดียวกัน


หายไป 3 ปีจากเรื่องคดีความทหาร ช่วงสงครามเวียดนาม


ชิงแชมป์ NABF รุ่นเฮฟวีเวท (สมัยที่ 2 ) ที่ว่างลงกับ ออสการ์ โบนาเวนา : Oscar Bonavena ชนะทีเคโอ​

 ยก 15


ชิงแชมป์ WBA WBC The Ring heavyweight  : แพ้ โจ เฟรเซอร์ (Joe Frazier) คนแรกที่สามารถเอาชนะ 

มูฮัมหมัด อาลีได้


ชิงแชมป์ NABF รุ่นเฮฟวีเวท : ชนะทีเคโอ​ จิมมี เอลลิส Jimmy Ellis ป้องกันได้อีก 5 ครั้ง


เสียแชมป์NABF รุ่นเฮฟวีเวท : ให้  เคน นอร์ตัน Ken Norton


กระชากแชมป์คืนจาก Ken Norton ในการชกแก้มือ 


ชิงแชมป์ WBA, WBC เดอะริง ชนะบิ๊กโจ จอร์จ โฟร์แมน (George Foreman) และ ป้องกัน ได้อีก 10 ครั้ง

 แถมถอนแค้น โจ เฟรเซอร์ (Joe Frazier) ได้อีกในการป้องกันครั้งที่ 4


เสียแชมป์ :  WBA, WBC เดอะริง  ให้กับ ลีออน สพิงส์ (Leon Spinks) แพ้คะแนน


ชิงแชมป์ : WBA เดอะริง  ชนะคะแนน ลีออน สปิงก์ส์ (Leon Spinks) คืนได้สำเร็จ ตอนนั้นอายุ 36 ปี แล้ว 


ประกาศแขวนนวม แต่กลับมาชกอีก 2 ไฟท์


29. ชิงแชมป์โลก WBC จาก ไอ้สิงห์รถบรรทุก แลร์รี โฮล์มส์ (Larry Holmes) แพ้อาร์ทีดี ยก 10 ที่ 

เป็นการแพ้น็อคครั้งแรกในชีวิตของ อาลี อีกด้วย


30. สถิติการชก  : 61 ชนะ 56 แพ้ 5 ชนะน็อค 37 แพ้น็อค 1


31. แพ้ 5 ครั้งให้กับ : 


 - โจ เฟรเซอร์ (Joe Frazier) ตอนชิง WBA, WBC


 -  เคน นอร์ตัน Ken Norton เสียแชมป์ NABF  North American Boxing Federation สหพันธ์มวยอเมริกาเหนือ


 - ลีออน สพิงส์ (Leon Spinks)  เสียแชมป์  WBA, WBC


 - แลร์รี โฮล์มส์ (Larry Holmes) *แพ้น็อคครั้งเดียวในชีวิต โดยที่ยก 11 ไม่ยอมออกมาชกต่อ 

ในการชิงแชมป์โลก WBC ตอนนั้น อาลี อายุปาไป 38 ปีแล้ว


 - เทรเวอร์ เบอร์บิก (Trevor Berbick) ในการชกครั้งสุดท้ายของชีวิต ตอนอายุ 39 ปี 



ผลจากการชก ทำให้อาลี มีอาการทางสมองจากการกระทบกระเทือนอย่างหนัก เป็นโรคพาร์กินสัน

ซึ่งเป็นผลจากการชกมวย 


เขาถูกยกย่องให้เป็นแชมป์โลกตลอดกาลในรุ่นเฮฟวีเวทโดยสมาคมมวยโลก


อาลี เสียชีวิตในวันที่ 3 มิถุนายน 2016 ขณะอายุ 74 ปี 


ข่าวการจากไปสร้างความเสียใจกับคนในวงการอย่าง  : ดอน คิง, จอร์จ โฟร์แมน, ไมก์ ไทสัน, 

แมนนี ปาเกียว และฟลอยด์ เมย์เวทเธอร์ จูเนียร์ 


คนนอกวงการอย่าง บารัค โอบามา, ฮิลลารี คลินตัน, บิล คลินตัน, โดนัลด์ ทรัมป์, เดวิด คาเมรอน 

และอีกหลายคนยกย่องอาลี


อาลียังได้รับเกียรติมากมายจากโลกแห่งกีฬาเช่น ไมเคิล จอร์แดน, ไทเกอร์ วูดส์,  เลอบรอน เจมส์, 

สตีเฟน เคอร์รี และอีกมากมาย เกร็ก ฟิชเชอร์ นายกเทศมนตรีเมืองลุยวิลล์กล่าวว่า "มูฮัมหมัด อาลีเป็น

ของโลก แต่เขามีบ้านเกิดเพียงแห่งเดียว


ชีวิตของมูฮัมหมัด อาลี ได้ถูกสร้างเป็นภาพยนตร์อย่างน้อย 2 ครั้ง 


มูฮัมหมัด อาลี ได้รับเกียรติเป็นตัวละครสำคัญในหนังสือการ์ตูน Superman vs Muhammad Ali 


เคยออกสตูดิโออัลบั้มใช้ชื่อว่า "I Am The Greatest" 




วันอาทิตย์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565

โรเจอร์ เฟเดอเรอร์ ราชาแห่งวงการเทนนิส Roger Federer

 


 โรเจอร์ เฟเดอเรอร์ ราชาแห่งวงการเทนนิส

อดีตนักเทนนิสอาชีพชายชาวสวิส เขาคว้าแชมป์แกรนด์สแลมในประเภทชายเดี่ยว 20 สมัย และ

เป็นเจ้าของสถิติแชมป์เอทีพี ไฟนอล6 สมัย เฟเดอเรอร์ ยังทำสถิติครองตำแหน่งมือวางอันดับ 1 ของโลก

ติดต่อกันยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์จำนวน 237 สัปดาห์


โรเจอร์ เฟเดอเรอร์ : Roger Federer


เกิด: 8 สิงหาคม ค.ศ. 1981 บาเซิล ประเทศสวิตเซอร์แลนด์


เทิร์นโปร : 1998


เริ่มเล่นเทนนิสเมื่ออายุได้แปดขวบ


เป็นแชมป์จูเนียร์ของสวิตเซอร์แลนด์เมื่ออายุ 14 ปี ในปี 1995


คว้าแชมป์วิมเบิลดันจูเนียร์ซิงเกิ้ลแชมเปียนชิพ 1998


แชมป์ The Junior Orange Bowl International Tennis Championship : 1998


ประเดิมสนามในทีมสวิส เดวิส คัพ และกลายเป็นนักเทนนิสที่อายุน้อยที่สุด (อายุ 18 ปี 4 เดือน) : 1999


และจบอันดับโลกที่ท็อป100 ( อันดับ 64 ของโลก )


เข้าร่วมการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกปี 2000 ที่ซิดนีย์ 


ช่วงเวลาการเล่นอาชีพ 


ประเดิมสนามแรกในชีวิตที่ รายการ ATP ที่ Swiss Open Gstaad ปี 1998 ในประเทศบ้านเกิดของเขา

ที่สวิตเซอร์แลนด์แพ้ Lucas Arnold Ker ในรอบแรก


ปลายปี98 : ชนะการแข่งขัน ATP นัดแรกในตูลูสกับกีโยม ราอูซ์


เข้าสู่การจัดอันดับ 100 อันดับแรกเป็นครั้งแรกในวันที่ 20 กันยายน 1999 


รอบชิงชนะเลิศครั้งแรก : Marseille Open ในปี 2000 ซึ่งเขาแพ้ให้กับ มาร์ค รอสเซต อดีตนักเทนนิสอาชีพ

ชาวสวิส เจ้าของเหรียญทองชายเดี่ยวในโอลิมปิกฤดูร้อน 1992 


เฟเดอเรอร์ชนะการแข่งขันฮอปแมนคัพปี 2001 รายการคู่ผสมระดับชาติ คู่กับ มาติน่า ฮิงกิส มือวาง

อันดับ 1 ฝ่าย หญิง ชาวสวิส เอาชนะคู่ของ โมนิก้า เซเลส และ แจน-ไมเคิล แกมบิลล์


วิมเบิลดัน ปี 2001 : เฟเดอเรอร์วัย 19 ปี เจอกับ พีทแซมพราส แชมป์เก่า 4 สมัยติดต่อกัน ในรอบ4  

ก่อนเอาชนะไปได้ใน 5เซต ก่อนจะเข้ารอบรองไปพ่ายให้กับ ทิม เฮ็นแมน จากอังกฤษ


รอบชิงชนะเลิศครั้งแรกที่เขาในระดับมาสเตอร์มาจากการแข่งขัน Miami Masters ปี2002 ซึ่งเขาแพ้ให้กับ

อังเดร อากัสซี่ อันดับ 1 อดีตมือ 1 ของโลก


เฟเดอเรอร์ชนะการแข่งขันมาสเตอร์ซีรีส์ครั้งแรกของเขาที่ฮัมบูร์กมาสเตอร์สบนดินในปี 2002 เหนือ 

มารัต ซาฟิน ทำให้เขาติดอยู่ในท็อป 10 ของโลก ครั้งแรกในอาชีพ


ปี2002 ชนะรายการแกรนด์สแลมเดี่ยวครั้งแรกที่วิมเบิลดัน โดยเอาชนะแอนดี้ ร็อดดิกในรอบรองชนะเลิศ

และมาร์ก ฟิลิปปูสซิสในรอบชิงชนะเลิศ


เฟเดอเรอร์ชนะการแข่งขันรายการมาสเตอร์สคู่แรกและรายการเดียวของเขาในไมอามีกับ แม็กซ์ มีร์ยี 

อดีตนักเทนนิส ชาวเบลารุส 


เฟเดอเรอร์เข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ 9 รายการในเอทีพี ทัวร์ชนะเจ็ดรายการ และ ATP Tour 500 เฟเดอเรอร์

ชนะการแข่งขันชิงแชมป์สิ้นปีกับอังเดร อากัสซี จบปีด้วยการเป็นมือ 2 ของโลก ตอนนั้น แอนดี้ ร็อดดิก

 เป็นมือ 1 ของโลก


ตั้งแต่ปี 2001-2002 เป็นต้นมา เฟเดอเรอร์ ก็อยู่ในยุครุ่งโรจน์ และเป็นบุคคลสำคัญของเทนนิสชาย

มาโดยตลอดจนถึง ปี 2022 ถึงประกาศแขวนแรคเก็ต


แชมป์ทั้งหมดที่เขาได้แบ่งเป็น : 


แชมป์ Grand Slam 20 สมัย


 - แชมป์ Australian Open 6 สมัย


 - แชมป์ French Open 1 สมัย


 - แชมป์ Wimbledon 8 สมัย


 - แชมป์ US Open 5 สมัย


----


 Tennis Masters Cup 6 สมัย


 เดวิสคัพ 1 สมัย ฮอปแมนคัพ 3 สมัย เหรียญทอง ชายคู่โอลิมปิก 2008 เหรียญเงินชายเดี่ยว โอลิมปิก 2012


22. ลงแข่ง : 1526 แมตช์ ชนะ 1251 แมตช์  เป็นอันดับ 2 ตลอดกาลรองจาก จิมมี คอนเนอส์


23. เข้าชิง : 157 รายการ ได้แชมป์ 103 รายการ เป็นอันดับ 2 ตลอดกาลรองจาก จิมมี คอนเนอส์


24. ประกาศเลิกเล่นในปี 2022  ด้วยวัย 41 ปี


วันอังคารที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565

จอร์จ เวอาห์ ตำนานไลบีเรีย George Weah

 


จอร์จ เวอาห์ ตำนานไลบีเรีย

ถ้าจะหานักเตะที่เป็นบุคลสำคัญ ของทวีป แอฟริกา ต้องมีชื่อคนนี้ อย่างแน่นอน

ยุโรปมีนักเตะระดับตอนาน อย่าง เปเล่ และมาราโดน่า 

อีกคนยูเซบิโอ แห่งโปรตุเกส แอฟริกาแท้ๆ ก็ต้อง จอร์จ เวอาห์คนนี้ ผู้ที่เป็น

นักเตะแอฟริกาคคนแรกที่ได้ บัลลงดอร์

ยูเซบิโอ เสือดำแห่งโมซัมบิก Eusébio


1. จอร์จ เวอาห์ : George Weah


2. ชื่อเต็ม : George Tawlon Manneh Oppong Ousman Weah


3. อดีตนักฟุตบอลอาชีพชาวไลบีเรีย


4. ปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีไลบีเรียคนที่ 25 ตั้งแต่ ค.ศ. 2018 


5. อดีตนักเตะของสโมสรดังอย่าง โมนาโก / ปารีส แซงต์ แชร์กแมง / เอซี มิลาน / เชลซี / แมนซิตี้ 

และ มาร์กเซย์


6. เกิดเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม ค.ศ.1966 


7. ตำแหน่ง : กองหน้าตัวเป้า


8. สโมสรอาชีพแรกสมัยเยาวชน : Young Survivors Claratown


9. เยาวชนปี 1984 -1985 : Bongrange Company


10. 1985–1986 : Mighty Barrolle


11. 1986–1987 : Invincible Eleven


12. 1987 : Africa Sports


13. 1987–1988 : Tonnerre Yaoundé


เล่นให้โมนาโก ทีมดังในฝรั่งเศส จากสายตาอันเฉียบแหลมของ อาแซน วเนเกอร์


14. ลงเล่นไป 5 ฤดูกาล 1987–92 เขายิงได้ 57 ประตู และทีมคว้าแชมป์เฟรนช์คัพในปี 1991


15. ทักษะการเลี้ยงบอลและการยิงที่ยอดเยี่ยมของเขาทำให้เขาถูกเซ็นสัญญาไปเร่วมทีมดังใน

เมืองหลวงของฝรั่งเศสอย่าง ปารีส แซงต์-แชร์กแมง


กับปารีส แซงต์-แชร์กแมง


16. เขานำ PSG ไปสู่การได้แชมป์การแข่งขัน กุปเดอฟร็องส์ 2 สมัย  French league 1994 กุปเดอลาลีก 1995 


17. คว้าแชมป์ลีก และเข้าสู่รอบรองชนะเลิศของ บอลยุโรปใน ปี 1995


18. และคว้าดาวซัลโว บอลสโมสรยุโรป ในฤดูกาล 1994-1995 ยิงไป 7 ประตู พา ปารีส เข้าถึงรอบรอง


19. ยังสามารถเข้าถึงรอบรองชนะเลิศของยูฟ่าคัพ 1992–93 และรอบรองชนะเลิศของถ้วยยุโรป

คัพวินเนอร์สคัพ 1993–94


20. ยิงได้16 ประตูจาก 25 เกมในบอลยุโรป


21. ได้รับรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของแอฟริกาเป็นครั้งที่2 หลังจากครั้งแรกได้ตอนอยู่ โมนาโก 

ปี 1989


สร้างผลงานที่มิลาน 


22. หลังจากบินสูงกับปารีส ในปี 95 ปีเดียกวันก็เข้าสู่ทีม เอซี มิลาน ของอิตาลี 


23. ปี 96 เขาคว้าแชมป์ลีกอิตาลีในปี 1996 ทันทีภายใต้การคุมทีมของฟาบิโอ คาเปลโล่จบฤดูกาล

ด้วยการเป็นผู้ทำประตูสูงสุดของมิลาน 


24. เขาคว้าแชมป์เซเรีย อาอีกครั้งในปี 1999


25. ปี97/98 เขาพามิลานเช้าชิง โคปปาอิตาเลีย เจอลาซิโอ ผลจบลงที่ 2 นัด มิลานแพ้ไป 3-2 เวอาห์

ทำได้ 1 ประตู


26. ปี 96 และ 99 เขาพามิลานเข้าแข่ง อิตาเลียนซูเปอร์คัพ โดยได้รองแชมป์ทั้ง 2 ปี โดยแพ้แก่ 

ฟิออเรนติน่า และปาร์ม่า ตามลำดับ


27. อยู่กับมิลาน 5 ปี ทำไปได้ 58 ประตูจาก 147 นัด ทุกรายการ


28. ได้บัลลงดอร์ จากผลงานตอนอยู่ที่ปารีส และมิลาน ปี1995 


29. ย้ายข้ามฟากมายังอังกฤษ ในช่วงท้ายกับ 2 สโมสร อย่าง เชลซี แมนซิตี้ลงเล่นไปรวมๆลงสนาม

รวม 24 นัด ยิงไป 9 ประตู


30. ย้ายไปมาร์กเซย ทีมดังในฝรั่งเศสอีก ลงไป 28 นัดยิง 6 ประตู ก่อนบันปลายย้ายไป อัลจาซีร่า 

อาบูดาบี ใน ยูเออี ช่วงบั้นปลาย ในปี 2001/02 ก่อนเลิกเล่น


31. ในนามสโมสรทั้งหมด เขาลงเล่นไป 478 นัด ยิงไป 193 ประตู


กับทีมชาติ 


32. ลงเล่นให้ทีมชาติ 74 นัด : ทำไป 17 ประตู 


ผลงานกับแต่ละสโมสร 


โมนาโก


33. แชมป์ French Cup : 1991


34. รองแชมป์ ลีกเอง : 1991 และ 1992


35. รองแชมป์ Cup Winners' Cup : 1992


ปารีส แซง แชร์กแมง


36. แชมป์ลีกเอง :  ปี 1994


37. แชมป์ Coupe de la Ligue : 1995


38. แชมป์ French Cup : 1993 / 1995


มิลาน


39. แชมป์ กัลโช่ ซีเรีย อา 2 สมัย  : 1996 และ 1999


40.  รองแชมป์ โคปาอิตาเลีย : 1998


41. รองแชมป์ ซุปเปอร์โคปปา : 1996 และ 1999



เชลซี 


42. แชมป์ เอฟเอคัพ : 2000


รางวัลส่วนตัวที่เด่นๆ


43. Ballon d'Or บัลลงดอร์ :  1995 เวอาห์ เป็นนักเตะจากทวีปแอฟริกาคนแรกที่คว้ารางวัลบัลลงดอร์ 


44. African Golden Ball : 1989 และ 1994


45. รางวัลนักเตะแอฟริกันแห่งปี : 1995


46. นักฟุตบอลยอดเยี่ยมของโลกแห่งปี : 1995


47. นักเตะยอดเยี่ยมกัลโช่ เซเรีย อา จาก นิตยสาร กาซเซตต้า เดลโล่ สปอร์ต : 1996


48. นักเตะต่างชาติยอดเยี่ยมลีกเอิง : 1991


ปัจจุบันเข้าสู้วงการการเมืองเต็มตัว โดยดำรงตำแหน่งสูงสุดอย่าง ประธานาธิบดี ของประเทศ 

ไลบีเรีย บ้านเกิด




วันพฤหัสบดีที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2565

ยูเซบิโอ เสือดำแห่งโมซัมบิก Eusébio

 



ยูเซบิโอ เสือดำแห่งโมซัมบิก Eusébio

ยูเซบิโอ เสือดำแห่งโมซัมบิก บุคคลสำคัญของวงการลูกหนังอีกคน ร่วมกับ เปเล่ มาราโดน่า


ยูเซบิโอ เสือดำแห่งโมซัมบิก Eusébio

1. ยูเซบิโอ : Eusébio


2. ยูเซบิโอ ดา ซิลวา เฟร์ไรรา : Eusébio da Silva Ferreira


3. เป็นชาวโปรตุเกส แอฟริกาตะวันออก โมซัมบิก


4. เกิด : 25 มกราคม ค.ศ. 1942 มาปูโต เมืองหลวงของโมซัมบิก


5. ยูเซบิโอเริ่มต้นอาชีพค้าแข้งกับสปอร์ติ้ง คลับ เด โลเรนโซ มาร์เกส ในดินแดนของโปรตุเกสใน

โมซัมบิกในขณะนั้น เล่นอยู่ 3 ปี ลงไป 42 ยิงไป 77 ประตู ( ยิงมากกว่าจำนวนนัดที่ลงเล่นเกือบเท่าตัว )


15 ปีกับเบนฟิก้า ยอดทีมจากโปรตุเกส


6. เบนฟิก้า แย่ง ตัว ยูซบิโอ กับคู่ปรับตลอดกาลอย่างลิสบอน มาได้ในธันวาคมปี 1960  ยูเซบิโอ

ลงประเดิมสนามกับวิตอเรีย เด เซตูบัล


7. ยูเซบิโอยิงให้กับ เบนฟิก้า ไป 727 ลูก จากการลงสนามทั้งสิ้น 715 นัด ตลอด 15 ปีที่ค้าแข้งอยู่


8. แชมป์ระดับชาติ 10 สมัย, โปรตุเกส คัพ 5 สมัย, ยูโรเปียนคัพ 1 สมัย (ยิงได้สองประตูในชัยชนะเหนือ 

รีลมาดริด ในนัดชิงฟุตบอลยุโรป)


9. ถ้วยเกียรติยศของลิสบอนอีก 5 สมัย


10. ปี 1965 ยูเซบิโอกลายเป็นผู้เล่นโปรตุเกสคนแรกที่ได้รับรางวัล Ballon d'Or


11. ยิงในบอลถ้วยสโมสรยุโรปไป 46 ประตู และเป็นดาวซัลไซขของถวยยุโรปในปี 1964/65, 1965/66 

และ 1967/68


12. ได้รับรองเท้าทองคำ 2 หน โดยหนังสือพิมพ์กีฬาฝรั่งเศส L'Équipe


ผลงานกับทีมชาติ 


13. ลงสนามให้ทีมชาติโปรตุเกสไป 64 นัด ยิง 41 ประตู


14. พาทีมชาติจบอันดับที่ 3 บอลโลก ปี1966 พร้อมคว้ารองเท้าทองคำ เป็นดาวซัลโว ยิงไป 9 ประตู

ในปีนั้น


15. ยูเซบิโอ ยังลงเล่นต่อหลังย้ายออกจากลิสบอนเนื่องจากเขาจะได้รับบาดเจ็บที่เข่าอย่างรุนแรง 

หลังผ่าเข่าเขายังไปเล่นต่ออีก 6-7 ทีม ลงนิดๆหน่อยๆ ก่อนเลิกเล่นในปี 1980 จบตำนานนักเตะผู้ยิ่งใหญ่

ของโปรตุเกสไว้ปีนั้น


16. ในปี 1992 ได้มีการสร้างรูปปั้นเพื่อเป็นเกียรติแก่เขา และในปี 2008 ก็ได้ก่อตั้งการแข่งขัน 

Eusébio Cup ประจำปีขึ้น



รางวัลส่วนตัวที่เด่นๆ


 - ได้รับเลือกให้เป็นนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของยุโรปในปี 1965


 - ได้รับรางวัลรองเท้าทองคำในบอลโลก 2 สมัย


 - บัลลงดอร์ 1 สมัย


 - ดาวซัลโว ลีกโปรตุเกส 7 สมัย


17. ยูเซบิโอ เสียชีวิตในวันที่ 5 มกราคม ค.ศ. 2014 (71 ปี) รัฐบาลโปรตุเกสได้ประกาศช่วงเวลาไว้ทุกข์สามวัน


วันเสาร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2565

มาราโดน่า ตำนานลูกหนังฟ้าขาว Diego Maradona

 


มาราโดน่า ตำนานลูกหนังฟ้าขาว

มาราโดน่า ตำนานลูกหนังฟ้าขาว หรืออีกฉายาคือหัตถ์พระเจ้า บุคคลสำคัญอีกคนของวงกรฟุตบอล

มาราโดน่า ตำนานลูกหนังฟ้าขาว Diego Maradona


1. ดิเอโก้ มาราโดน่า : Diego Maradona (ดิเอโก้ อาร์มันโด มาราโดน่า)


2. อดีตนักฟุตบอลชาวอาร์เจนตินา  ตำแหน่งกลางรุก และ กองหน้า


3. อดีตเป็นผู้จัดการทีมชาติอาร์เจนตินา 


4. ถือเป็น 2 นักฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล  ร่วมกับเปเล่ 


5. เกิด 30 ตุลาคม ค.ศ. 1960 : ที่ลานุส บัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา


6. ได้รับการยกย่องว่าเป็นนักฟุตบอลในตำนานทศวรรษ 1980 และเป็นหนึ่งในนักเตะที่ยิ่งใหญ่

ที่สุดตลอดกาล


7. ได้ชื่อว่าเป้นศิลปินลูกหนัง ลีลาความสามารถเฉพาะตัว ความเร็ว สร้างโอกาสและทำประตู

ด้วยตัวเองได้ ถือยอดตัวรุกยอดนักฟุตบอลของยุคที่ตัวเองเล่นอยู่


8. สร้างช็อตมหัศจจรย์ หลายอย่าง อย่าง ลากเลื้อยครองบอลเข้าไปยิง ยิงลูกยิงมหัศจจรย์ หลบ 5 

และมากมาย


9. หัตถ์พระเจ้า : ในปี 1986 ที่ประเทศเม็กซิโก เขาได้ทำประตูด้วยมือในนัดที่เจอกับอังกฤษ 

รอบแปดทีมสุดท้าย เขาได้กระโดดแย่งโหม่งกับ ปีเตอร์ ชิลตัน ผู้รักษาประตูของอังกฤษ

ที่กระโดดมาจะรับบอล แต่เขาได้ใช้มือซ้ายปัดลูกฟุตบอลเข้าประตูไป ซึ่ง อาลี บิน นัสเซอร์ 

กรรมการชาวตูนิเซียที่มองไม่เห็นการใช้มือได้ตัดสินให้ลูกนี้เป็นประตู เป็นที่กล่าวขาน 

ถกเถียงกันอย่างมากในตอนนั้นจบเกมอาร์เจนตินาชนะ 2-1 และเป็นหนทางไปสู่แชมป์โลกของอาเจน 

และ มาราโดน่า


10. ช่วงเริ่มต้นฟุตบอล : อายุได้แปดขวบเขาเข้าร่วมลาส เซโบลลิตัส และต่อมาได้ เซ็นสัญญา

กับอาร์เจนติโนส จูเนียร์สเมื่ออายุ 14


11. ลงสนามเป็นทางการนัดแรกในปี1976 10 วันก่อนวันเกิดอายุครบ 16 ปีของเขา หลังจากนั้น

แค่ 4 เดือนเขาก็ได้เปิดตัวกับการติดทีมชาติครั้งแรกถือเป็นนักฟุตบอลอาจนที่ติดทีมชาติชุดใหญ่

อายุน้อยที่สุด


12. ฟุตบอลโลกปี 1978 เขาไม่ถูกเรียกทีมชาติไปบอลโลกปีนั้นเพราะยังถูกมองว่าเด็กเกินไป 


13. ติดทีมเยาวชนยู20 ได้แชมป์โลก ร่วมกับ ราม่อน ดิอาซ โดย มาราโดน่ายิงไป 6 ประตู ดิอาส

ยิงไป 8ประตู


14. เข้าร่วมฟุตบอลโลก 4 ครั้ง : 1982 / 1986 / 1990 / 1994 โดยในปี 1986 สามารถพาทีมคว้าแชมป์โลก

ได้ด้วยการชนะ เยอรมันตะวันตกไป 3-2 


ยิงรวมทั้งทัวร์นาเม้นต์ไป 5 ประตู เป็นรองดาวซัลโว และได้ รางวัลลูกบอลทองคำไปครอง


15. ระดับเยาวชน : Argentinos Juniors ปี 1969 - 1976


16. เล่นอาชีพ : อาเจนตินอส จูเนียร์ Argentinos Juniors 1976 -1981 ลง 166 นัด ยิง 116 ประตู


17. ปี 1981 : ย้ายไป โบคา จูเนียร์ ถึงปี 1982 ปีเดียว ลง 40 นัด ยิง 28 ประตู พาทีมคว้าแชมป์ได้ทันที

แค่ปีแรก


18. ปี 1982 : ย้ายไปบาเซโลน่า พาทีมได้แชมป์Spanish Cup ปี 1983 ลงสนาม 36 นัด ยิง 22 ประตู 

แต่ด้วยความที่เจ็บบ่อย ทำให้เขาต้องย้ายออกจากทีมในปี 1984 


19. ปี1984  : ย้ายไปนาโปลี และเป็นที่ๆประสบความสำเร็จอย่างมากในอาชีพการค้าแข้งของเขา 

เขาได้กลายเป็นที่รักของเมืองเนเปิลส์ทั้งเมือง ด้วยผลงานพานาโปลีคว้ามแชมป์ กัลโช่ ซีเรีย อา อิตาลี

ในฤดูกาล 1986-87 เป็นครั้งแรกของสโมสร ก


20. ฤดูกาล 1989-90 : มาราโดน่า ก็สามารถพานาโปลีคว้าแชมป์ ลีก ได้เป็นสมัยที่ 2 ส่วนปี 1987-88 

และ 1988-89 ก็ได้รองแชมป์ลีก อีกด้วย


21. แชมป์โคปาอิตาเลีย ปี1987 


22. แชมป์โคปาอิตาเลีย ปี1989


23.  แชมป์ยูฟ่าคัพในปี 1989


24. แชมป์ซูเปอร์คัพของอิตาลีในปี 1990


25. เป็นดาวซัลโวสูงสุดในเซเรีย อาในปี 1987–88 ด้วยจำนวน 15 ประตู  และทำประตูให้นาโปลีทั้งสิ้น

 115ประตู ตลอดการค้าแข่ง


26. ขอไม่พูดเรื่องปัญหา...นะคับ


27. มาราโดน่าอยู่อิตาลีถึงปี 1991 ก่อนย้ายไปเล่นกับเซบีญ่าในปี 1992-1993


28. 1993 ย้ายกลับมาที่ นีเวล โอลบอยส์ ที่อาเจนติน่า และ 1995 ใสอยู่กับ โบคาร์จูเนียร์ ก่อนจะรีไทร์


29. หลังจากเลิกเล่นฟุตบอลได้มาคุมทีม Deportivo Mandiyú / Racing Club  / ทีมชาติอาเจนติน่า 

/ Al-Wasl / Fujairah /Dorados de Sinaloa


และ Gimnasia de La Plata


เกียรติประวัติกับทีมชาติ


30. ได้แชมป์ : บอลโลกปี 1986 ที่เม็กซิโก


31. รองแชมป์ : บอลโลกปี 1990 ที่อิตาลี


32. อันดับ 3 โคปาอเมริกา : 1989 ที่บราซิล


33. ได้แชมป์ CONMEBOL–UEFA Cup of Champions : ปี1993


34. แชมป์บอลโลกยู20 : ปี 1979 ที่ญี่ปุ่น


35. รองแชมป์ยู20 ชิงแชมป์แห่งชาติอเมริกาใต้ : ปี 1979 ที่อุรุกวัย



เกียรติประวัติสโมสร


36. โบคา จูเนียร์ : Argentine Primera División: 1981 Metropolitano


37. บาเซโลน่า : โคปาเดล เรย์ 3 สมัย โคปาเด ลาลีก้า 1 สมัย ซุปเปอร์โคปา เอสปัญญ่า 1 สมัย


38. นาโปลี : แมป์กัลโช่ 2 สมัย โคปา อิตาเลีย 1 สมัย ซุปเปอร์โคปา อิตาเลียน่า 1 สมัย ยูฟ่าคัพ 1 สมัย


เกียรติประวัติส่วนตัว


39. ดาวซัลโวลีกของอาเจนติน่า :  4 สมัย


40. ลูกบอลทองคำ ฟุตบอลยู20 : 1979


41. รองเท้าเงิน ฟุตบอลยู20 : 1979


42. รางวัลกีฬาอาร์เจนตินาโดยสมาคมนักข่าวกีฬา : 2 สมัย


43. นักฟุตบอลยอดเยี่ยมประจำปี จาก นิตยสารฟุตบอลอิตาลี : 2 สมัย


44. นักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของนักข่าวฟุตบอลอาร์เจนตินา : 4 สมัย


45. นักเตะอเมริกาใต้ยอดเยี่ยม : 6 สมัย


46. El Gráfico Footballer of the America's : 2 สมัย


47. Guerin Sportivo World All-star Team : 5 ครั้ง


48. ลูกบอลทองคำบอลโลกปี 86 : 


49. รองเท้าเงินบอลโลกปี 86 : 


50. Italian Football Hall of Fame


และอื่นๆอีกมากมายนับไม่ถ้วน



มาราโดน่าเสียชีวิตจากภาวะหัวใจหยุดเต้นที่บ้านในเมืองติเกร ประเทศอาร์เจนตินาในปี ค.ศ. 2020


วันจันทร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2565

เปเล่ ตำนานแห่งฟุตบอลบราซิล Pelé

 


เปเล่ ตำนานแห่งฟุตบอลบราซิล

 - เเอ็ดสัน อารันเตส โด นาสซิเมนโต้ : Edson Arantes do Nascimento หรือ เปเล่  Pelé


 - เกิด 23 ตุลาคม 1940 : ที่ Três Corações (เตรสโกราโซยส์) บราซิล


เปเล่ ตำนานแห่งฟุตบอลบราซิล Pelé


 - นักฟุตบอลชาวบราซิล : ตำนานนักฟุตบอลของโลก ได้ชื่อว่าเป็น "ราชาฟุตบอล" หรือ "ไข่มุกดำ" 


 - บุคคลสำคัญเป็นส่วนหนึ่งของทีมชาติบราซิลที่ได้แชมป์ฟุตบอลโลก 3 สมัย : 1958, 1962, 1970


 - ตำแหน่ง : กองหน้าตัวกลาง กับหน้าต่ำ กลางตัวรุก


 - เริ่มต้ยการเล่นฟุตบอลในลีกระดับเล็กในรัฐเซาเปาโล


 - ถูกปฏิเสธโดยทีมสโมสรใหญ่ในเมืองเซาเปาโล


 - ค.ศ. 1956 เขาได้เข้าร่วมสโมสรฟุตบอลซานโตส : เริ่มต้นที่หน้าซ้าย


 - เปเล่เปิดตัวในระดับนานาชาติในปี 1957 


 - อายุได้ 17 ปี ถูกเรียกตัวติดทีมชาติบราซิล เพื่อลงแข่งฟุตบอลโลกในปี 1958


 - แฮตทริกในรอบรองชนะเลิศกับฝรั่งเศส บราซิลชนะไป 5-2 


 - นัดชิงเปเล่จัดอีก2ประตู พาทีมชนะสวีเดนเจ้าภาพ ไป 5-2 


 - เป็นนักฟุตบอลอายุน้อยที่สุดที่ยิงประตูในนัดชิงชนะเลิศ พาบราซิลเป็นแชมป์โลก


 - บอลโลกปีนั้น เปเล่กดไป 6 ประตูเท่ากับ Helmut Rahn (เฮ็ลมูท ราห์น) เป็นรอง Just Fontaine 

(ฌุสต์ ฟงแตน) ของฝรั่งเศสที่ยิงไปถึง 13 ประตู


 - ฟุตบอลโลกปี 1962 บราซิลเข้าชิงกับ เชกโกสโลวเกีย เปเล่ไม่ได้เล่นเพราะบาดเจ็บตั้งแต่นัดที่ 2 

ของทัวร์ตั้งแต่ในรอบแบ่งกลุ่ม แต่บราซิลยังเอาชนะไปได้ 3-1 


 - บอลโลกปี1962 เปเล่ยิงได้เพียง 1 ลูก ในรอบแบ่งกลุ่มนัดแรกกับ  เม็กซิโก ที่ชนะไปได้ 2-0 


 - ปี 1966 เปเล่รับได้รับบาดเจ็บ ในบอลโลก โดยยิงบัลแกเรียได้แค่ลูกเดียว และทำให้บราซิล

ในปีนั้นตกรอบแรก โดยมีโปรตุเกส และฮังการี่ เข้ารอบไป ผลงานคือ ชนะบัลแกเรีย แพ้ ฮังการี่ 

และโปรตุเกส สกอร์ 3-1 ทั้ง 2 นัด


 - บอลโลกปี 1970 ตอนนั้นเปเล่ อายุราวๆ 28-29 ปีแล้วเขาได้ร่วมทีมกับตัวดาวรุ่งมาเล่น

ฟุตบอลโลกอีกครั้ง


 - ผลงานปี 1970 เขาสามารถพาบราซิลคว้าแชมป์โลก สมัยที่ 3 ได้ และเปเล่ยิงไป 4 ลูก 

นัดชิงชนะ อิตาลี 4-1 เปเล่ยิง 1 ลูก ดาวซัลโวปีนั้นคือ แกร์ด มุลเลอร์ ตำนานกองหน้าเยอรมัน 

ที่ยิงไป 10 ประตู


 - เปเล่ลงแข่งฟุตบอลโลก 4 สมัย ยิงไป 12 ประตู จากการลงเล่น 14 นัด ถือเป็นตำนานทีมชาติ

ผู้พาบราซิลเป็นแขมป์โลก ถึง 3 สมัย ทำให้ได้ถ้วย ฌูล รีเม่ อย่างภาวร ( ถ้วยบอลโลก)


 - เขาลงเล่นให้ทีมชาติบราซิล 92 นัด ยิง 77 ประตู


 - เล่นให้ซานโตส 659 นัด ยิง 643 ประตู 


 - ช่วงใกล้เลิกเล่น ในปี 1975 เขาถูกนิวยอร์ก คอสมอส ซื้อตัวไปในราคาราว 7 ล้านดอลล่า 

ลงเล่นไป 64 นัด ยิงไป 37 ประตู


 - หลังจากนำทีม Cosmos สู่แชมป์ลีกในปี 1977 เขาก็ประกาศเลิกเล่น 


 - เปเล่ได้รับรางวัล International Peace Award ในปี 1978


 - ได้รับการเสนอชื่อให้เป็นนักกีฬาแห่งศตวรรษโดยนิตยสารกีฬาของฝรั่งเศส L'Equipe ปี 1999 

และได้รับเกียรติเช่นเดียวกันนี้จากคณะกรรมการโอลิมปิกสากล


 - ในปี 2014 ได้มีการเปิดพิพิธภัณฑ์เปเล่เปิดขึ้นในเมืองซานโตส ประเทศบราซิล


 - ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล ร่วมกับมาราโดน่า


 - ถูกรวมอยู่ในรายชื่อ 100 คนที่สำคัญที่สุดของศตวรรษที่ 20


 - ปี 2000 เปเล่ได้รับเลือกให้เป็นผู้เล่นยอดเยี่ยมแห่งศตวรรษของโลกโดยสหพันธ์ประวัติศาสตร์

ฟุตบอลและสถิตินานาชาติ (IFFHS)


 - เป็นหนึ่งในสองผู้ชนะร่วมกันของผู้เล่นฟีฟ่าแห่งศตวรรษ 1,279 ประตูจาก 1,363 เกมซึ่งรวมถึงกระชับมิตร ได้รับการยอมรับว่าเป็นสถิติโลกกินเนสส์บุ๊ค


 - นับอย่างเป็นทางการ 757 ลูกก่อนโดน คริสเตียนโน่ โรนัลโด้ทำลายไป


 - เป็นทูตระดับนานาชาติด้านกีฬา โดยทำงานเพื่อส่งเสริมสันติภาพและความเข้าใจผ่านการแข่งขัน

กีฬากระชับมิตร


 - ในระหว่างปี 1995 และ 1998 เปเล่เป็นรัฐมนตรีกีฬา 1 สมัย ในยุคนายก เฟร์นานโด เฮนริเก้ คาร์โดโซ่

 ของบราซิล


เปเล ตำนานลูกหนังโลกชาวบราซิล เสียชีวิตลงแล้วอย่างสงบด้วยวัย 82 ปี. หลังจากต่อสู้กับ

อาการป่วย มะเร็งลำไส่ใหญ่มายาวนาน ด้วยการผ่าตัดและการทำเคมีบำบัด  และจากไปเมื่อวัน

พฤหัสบดีที่ 29 ธันวาคม 2022  ตำนานฟุตบอลของโลกตลาดกาล ได้แชมป์ฟุตบอลโลก ถึง 3 สมัย 

ได้รับการยกย่องว่าเป็นนักเตะที่ดีสุดตลอดกาลของโลกฟุตบอล ทำประตูตลาดอาชีพไปทั้งหมด  

1,281 ประตู จากการลงสนาม 1,363 นัด ตลอดอาชีพค้าแข้ง 21 ปี 



เปเล่  Pelé

นักเตะที่ดีสุดตลอดกาลของโลกฟุตบอล





วันเสาร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2565

วาสโก ดา กาม่า Vasco da Gama ( ผู้เดินทางสู่อินเดีย)

 


วาสโก ดา กาม่า Vasco da Gama ( ผู้เดินทางสู่อินเดีย)

วาสโก ดา กาม่า Vasco da Gama ( ผู้เดินทางสู่อินเดีย)


วาสโก ดา กาม่า Vasco da Gama / วัชกู ดา กามา เป็นนักเดินเรือสำรวจชาวโปรตุเกส  เกิดที่เมืองซีนึช

 แคว้นอาเลงเตฌู ประเทศโปรตุเกส

บุคคลสำคัญที่ สร้างประวัติศาสตร์ด้วยการค้บพบเส้นทางการเดินเรือจากยุโรปสู่อินเดียโดยเริ่มจาก 

กรุงลิสบอน เป็นเมืองหลวงและเมืองใหญ่ที่สุดของประเทศโปรตุเกส ที่ตั้งอยู่ทิศตะวันตกของประเทศ 

ริมชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติกของคาบสมุทรไอบีเรียไปจนถึง ชายฝั่งมะละบาร์ ตะวันตกเฉียงใต้

ของอินเดีย เป็นแนวชายฝั่งทะเลยาวและแคบทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศอินเดีย บริเวณที่ราบ

รัฐเกรละและรัฐกรณาฏกะ ระหว่างเทือกเขาฆาฏตะวันตก กับทะเลอาหรับ โดยแล่นเรืออ้อมผ่านแหลม

กู๊ดโฮป ทางตอนใต้ของแอฟริกาซึ่งบาร์ตูลูเมว ดีอัช (Bartolomeu Dias) เป็นผู้ค้นพบเมื่อ 1524 

ถ้าจะกล่าวว่ามีนักสำรวจ ที่ยิ่งใหญ่อย่าง โคลัมบัส วาสโก ดา กาม่า ก็ถือเป็นนักสำรวจที่ไม่ยิ่งหย่อน

ไปกว่ากันที่สามารถเปิดเส้นทางทำให้ เอเชีย อินเดียติดต่อกับ ยุโรปได้ง่ายขึ้น


วาสโก ดา กาม่า Vasco da Gama ( ผู้เดินทางสู่อินเดีย)


1. วาสโก ดา กาม่า เกิดปี. 1460, Sines, โปรตุเกส


2. วาสโก ดา กาม่า เป็นบุตรชายคนที่สามของ Estêvão da Gama ขุนนางประจำจังหวัดรองซึ่งเป็น

ผู้บัญชาการป้อมปราการ Sines ทางตะวันตกเฉียงใต้ของโปรตุเกส


3. ในปี ค.ศ. 1492 พระเจ้าจอห์นที่ 2 แห่งโปรตุเกสส่ง วาสโก ดา กาม่า ยึดเรือฝรั่งเศสเพื่อตอบโต้

การปราบปรามเรือเดินสมุทรของโปรตุเกสซึ่งเป็นงานที่ วาสโก ดา กาม่า มาอย่างรวดเร็วและ

มีประสิทธิภาพ


4. ในปี ค.ศ. 1495 กษัตริย์มานูเอลเสด็จขึ้นสู่บัลลังก์ พระองค์ได้ให้ ดา กาม่า เข้ามาใช้งานชุปเลี้ยง

และต้องการที่จะส่งกองเรือไปยังอินเดีย เพื่อเปิดเส้นทางการค้าไปยังเอเชีย และเพื่อล้อมชาวมุสลิม

อาหรับที่ก่อนนี้เคยชอบผูกขาดการค้ากับอินเดียและรัฐทางตะวันออกอื่นๆ


5. วาสโก ดา กาม่า ได้รับการหน้าที่นี้ ด้วยการเป็นผู้นำการสำรวจแม้เขาจะยังไม่มีประสบการณ์

มากมายนักก็ตาม


6. วันที่ 8 กรกฎาคม ค.ศ. 1497 ด้วยกองเรือสี่ลำ พาหนะบกมากมายรวมถึงล่ามที่พูดอาหรับได้อีก 2 คน

 และพูดภาษาบันตูได้หลายภาษาอีก1 ภาษาบันตูคือ ภาษาของลุ่มชาติพันธุ์ ที่แตกต่างกันประมาณ 

400 กลุ่มซึ่งพูดภาษาบันตู มีถิ่นกำเนิดใน 24 ประเทศ(ของปัจจุบัน)แผ่กระจายไปทั่วพื้นที่กว้างใหญ่

ตั้งแต่แอฟริกากลางไปจนถึงแอฟริกาตะวันออกเฉียงใต้และแอฟริกาตอนใต้


7. วาสโก ดา กาม่า เดินทางผ่านหลายที่ทั้ง หมู่เกาะคะเนรี (กานาเรียส) เซาติอาโก (ซันติอาโก) 

ในหมู่เกาะเคปเวิร์ด อ่าวกินี พยายามจะอ้อมแหลมกู๊ดโฮป กองเรือไปถึงอ่าวซานตาเฮเลนา 

(ในแอฟริกาใต้ในปัจจุบัน) แต่ด้วยลมไม่อำนวยทำให้เดินทางได้ล่าช้า ต่อมาจึงได้มาทอดสมออยู่ที่

อ่าวมอสเซล และมาต่อที่โมซัมบิก เขาพักอยู่ 1 เดือนเพื่อซ่อมเรือ ลูกเรือที่มาด้วยก็มีอาการป่วย

เนื่องจากเลือดออกตามไรฟัน


8. เดินทางไปถึงมอมบาซา (ปัจจุบันอยู่ในเคนยา) โดยการนำทางของชาวคุชราฏ (เป็นรัฐบนชายฝั่ง

ตะวันตกของประเทศอินเดีย) ทำให้เขา ข้ามมหาสมุทรอินเดียมา23 วัน ได้เจอกับเทือกเขาฆาฏ

ของอินเดีย และโคชิโคด หรือ กาลิกัต เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ทางตอนใต้ในรัฐเกรละของประเทศอินเดีย 


9. หลังจากได้เข้ามาที่อินเดียเขาได้สร้าง  padrão คือเป็นเสาหินที่นักสำรวจทางทะเลชาวโปรตุเกสทิ้งไว้

ในศตวรรษที่ 15 - 16 เพื่อบันทึกแผ่นดินใหญ่ที่สำคัญ เหมือนหลักที่ว่า ชาวโปรตุเกสได้มาสร้างหลักฐาน

ไว้ว่าเคยมาที่นี่แล้ว มักจะถูกวางไว้บนแหลมและแหลมหรือที่ปากแม่น้ำสายสำคัญ เครื่องหมายในช่วงต้น

เป็นเสาไม้หรือไม้กางเขนที่เรียบง่าย ซึ่ง วาสโก ดา กาม่า ได้สร้างไว้ระหว่างทางมาอินเดีย และที่อินเดีย

 เพื่อพิสูจน์ว่าเขามาถึงอินเดียแล้ว


10. โดยมี Zamorin ผู้ปกครองของอาณาจักรชาวฮินดูนั้นถูกปัดทิ้งเพราะว่า สิ่งที่ ดา กาม่า นำมาเป็น

ของขวัญนั้นไม่มีค่าพอที่นี่ มันอาจจะดูดีใน แอฟริกาตะวันตกแต่แทบไม่เป็นที่ต้องการในอินเดีย 

ชาวโปรตุเกสเข้าใจผิดคิดว่าชาวฮินดูเป็นคริสเตียน อีกมีเรื่องศาสนาเข้ามาโยงกันเข้าไปด้วยทำให้

การตกลงนธิสัญญา นั้นล้มเหลวที่อินเดีย


11. พอมีปัญหามีความตึงเครียดเพิ่มมากขึ้นเขาเลยออกเดินทางต่อ โดยนำชาวฮินดูไปด้วย 6 คนเพื่อ

ให้กษัตริย์ของเขาได้ศึกษาธรรมเนียมปฏิบัติของชาวฮินดูเพื่อให้เข้าใจสภาพที่เกิดขึ้นและรับมือต่อ

ในภายหลัง แต่เขานั้นได้เดินทางในช่วงที่แย่ที่สุดคือช่วงมรสุม ทำให้เขาต้องแล่นเรือฝ่าลมมรสุม 

จนเขาไปถึง Anjidiv เป็นเกาะอินเดียในทะเลอาหรับ ใกล้รัฐกัว  ก่อนแล่นเรือไปยังมาลินดีงอยู่บน

ชายฝั่งมหาสมุทรอินเดียของเคนยา


12. หลังจากอยู่ในทะเลอาหรับมานานกว่า 3 เดือน ลูกเรือหลายคนเสียชีวิตด้วยโรคเลือดออกตามไรฟัน 


13. หลังจากผ่านหลายแห่ง พายุซัดหลายทีเขาก็ได้เดินทางกลับมาถึงลิสบอน เป็นผลสำเร็จ ลูกเรือ

จากขาไปนั้นมีราวๆ 170 เหลือกลับมาคงเหลือราว 50 กว่าคน


14. พระเจ้ามานูเอลที่ 1 มอบตำแหน่ง Dom (เป็นคำนำหน้าที่ให้เกียรติสงวนไว้สำหรับพระสงฆ์และ

ขุนนางคาทอลิก) ให้ดา กาม่า เงินบำนาญประจำปี 1,000 ครูซาโด cruzados(ครูซาโด คือสกุลเงิน)

 และที่ดิน


15. การเดินทางครั้งนี้ได้เปิดเส้นทางน้ำทั้งหมด จากยุโรปสู่เอเชีย


16. การเดินทางครั้งที่สองของ ดา กาม่า พระเจ้ามานูเอลที่ 1  ได้ส่งเปโดร อัลวาเรส กาบราล 

(ได้รับการยกย่องเป็นชาวยุโรปผู้ค้นพบบราซิล) นักเดินเรือชาวโปรตุเกสไปยังเมืองกาลิกัต


17. โจมตีเรืออาหรับมุสลิมที่เขาพบระหว่างทาง บังคับเจ้าผู้ครองแคว้นกาลิกัต ให้ยอมแพ้ ยอมจำนน


18. ระหว่างเดินทางกลับตามแนวชายฝั่งแอฟริกาตะวันออกได้ตั้งด่านการค้าขายของโปรตุเกสขึ้น

ในประเทศโมซัมบิกในปัจจุบัน


19. เขาเดินทางไปอินเดียถึง 3 ครั้ง ครั้งที่ 3 นี้ เขาได้รับการเสนอชื่อให้เป็นอุปราชชาวโปรตุเกส

ในอินเดีย กัปตันผู้ยิ่งใหญ่แห่งทะเลอินเดีย ผู้บัญชาการกองเรือลาดตระเวนของมหาสมุทรอินเดีย


20. ดา กาม่าได้รับคำมั่นสัญญาจากพระเจ้าจอห์นที่ 3 แห่งโปรตุเกสที่จะแต่งตั้งบุตรชายทั้งหมดของเขา

เป็นกัปตันชาวโปรตุเกสของมะละกาตามลำดับ


21. การเดินทางครั้งสุดท้ายของ  ดา กาม่า พร้อมด้วยบุตรชายสองคนของเขา Estêvão และ Paulo 

จนมาถึงอินเดีย เขาก็ได้จัดการออกคำสั่งใหม่ในโปรตุเกสอินเดีย แทนที่เจ้าหน้าที่เก่าทั้งหมด


22. ในปี ค.ศ. 1524 วันคริสต์มาสอีฟ วาสโก ดา กาม่า ที่ติดเชื้อมาลาเรียได้ไม่นานหลังจากที่มาถึง และ

เสียชีวิตในเมืองโคชิน หลังจากที่เขาได้รับมอบหมายตามพระราชดำรัสของราชวงศ์ มารับตำแหน่ง

ผู้ว่าการอินเดีย


23. ร่างของ วาสโก ดา กาม่า ถูกฝังครั้งแรกที่โบสถ์ St. Francis ที่ป้อมโคชิน ในเมืองโคชิน อินเดีย 

แต่ศพของเขาถูกส่งคืนไปยังโปรตุเกสในปี 1539 ร่างของ วาสโก ดา กาม่า ถูกฝังอีกครั้งใน Vidigueira 

ในโลงศพที่ประดับด้วยทองคำ และอัญมณี


24. หลุมฝังศพของ วาสโก ดา กาม่า  ในอาราม Jerónimos (เจโรนิโมส์ ) ในย่าน  Belém(เบเลม) 

ริมแม่น้ำเทกัส เมืองลิสบอน 




วันศุกร์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2565

โทมัส อัลวา เอดิสัน (Thomas Alva Edison)

 


โทมัส เอดิสัน (Thomas Alva Edison)

1. เอดิสัน เกิดเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 1847 ที่เมืองมิลาน รัฐโอไฮโอ เขาเป็นลูกคนที่เจ็ดและคนสุดท้าย

ที่เกิดกับ Samuel Edison Jr. และ Nancy Elliott Edison


2. อายุ 12 หูหนวก 1 ข้าง อีกข้างเกือบหนวก เพราะติดเชื้อที่หู จากโรคไข้อีดำอีแดง 


3. อายุ13 มาเป็นเด็กส่งของ อาหาร หนังสือพิมพ์ ในทางรถไฟระกว่างเมืองดีทรอยด์ กับ พอร์ตูรอน 

ในรัฐมิชิแกน

โทมัส อัลวา เอดิสัน (Thomas Alva Edison)


4. ปี 1870 - 1875 เอดิสันทำงานที่ เมืองนวร์ก รัฐนิวเจอร์ซีย์ เกี่ยวกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับ

โทรเลขให้บริษัทเวสเทิร์น ยูเนี่ยน เทเลกราฟ และคู่แข่งของบริษัท


5. 1875 เอดิสันเปิดร้านและห้องทดลองค้นคว้า ซึ่งเป็นร้านเครื่องจักร โดยความช่วยเหลือจากพ่อของเขา

 ส่วนแม่ของเขานั้นเสียชีวิตไปตั้งแต่ปี 1871 ซึ่งเป็นปีเดียวกันกับที่เขาแต่งงานกับ แมรี่ สติลเวลล์วัย 16 ปี


6. ร้านค้าและโรงงานประดิษฐ์ของเขาที่ Menlo Park ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี 


7. ปี 1877 เอดิสันได้พัฒนาเครื่องส่งคาร์บอนซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่ช่วยปรับปรุงการได้ยินของโทรศัพท์

โดยทำให้สามารถส่งสัญญาณเสียงในระดับที่สูงขึ้นและมีความชัดเจนมากขึ้น


8. ปี 1877 เช่นกันจากการทำงานเกี่ยวกับ โทรเลข และ โทรศัพท์ ทำให้เขาคิดทำแผ่นเสียงได้สำเร็จ 

และได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว แม้ต้องใช้เวลาอยู่นานกว่าจะสามารถทำขายในเชิงพานริชย์ได้


9. ปี 1878 โทมัส อัลวา เอดิสัน ต้องการที่จะผลิตหลอดไฟที่ราคาถูกลงและไม่เป็นอันตราย(ปลอดภัย

กว่าเดิม ) เพื่อใช้ทดแทนหลอดแก๊ส ซึ่งถือว่าเป็นความท้าทายอย่างใหญ่หลวง แต่ด้วยการสนับสนุน

ทางการเงินจาก คนรวยคนดัง เช่น J.P. Morgan และ Vanderbilt Edison ทำให้เขาก่อตั้ง Edison Electric

 Light Company และเริ่มทำการวิจัยและพัฒนา


10. ปี 1879 เขาก็สามารถคิดค้นผลิตหลอดไฟที่มีอายุการใช้งานยาวนานและราคาไม่แพงขึ้นได้


11. ปี 1881 เขาได้ก่อตั้งบริษัทไฟฟ้าแสงสว่างในนวร์ก


12. หลอดไฟของเขาอาจจะมีปัญหาในยุคแรกๆอยู่บ้างแต่ก็ถูกยกย่องเป็นอย่างดี อย่างเช่นที่ 

Paris Lighting Exhibition (นิทรรศการไฟฟ้าครั้งแรกในกรุงปารีส) ในปี 1881และ Crystal Palace

 (นิทรรศการไฟฟ้าคริสตัล พาเลซ) ในลอนดอนในปี 1882 ซึ่งมี ระดับบริษัทและผู้ผลิตมากมายไปแสดง


13. เขามีคู่แข่งสำคัญ อย่าง George Westinghouse จอร์จ เวสติงเฮาส์ ได้พัฒนาระบบไฟฟ้ากระแสสลับ 

มาจากงานวิจัยของ นิโคล่า เทสล่า แข่งกับ เอดิสันที่นำเสนอระบบไฟฟ้ากระแสตรง


14. แมรี่ภรรยาของเอดิสันเสียชีวิตในเดือนสิงหาคม 1884 และ ในปี 1886 เขาได้แต่งงานกับมิร์นา มิลเลอร์

อีกครั้ง พวกเขาจะมีลูกสามคนด้วยกัน


15. เขาได้ร่วมกับ วิลเลียม เคนเนดี้ ดิ๊กสัน ประสบความสำเร็จในการสร้างกล้องถ่ายภาพเคลื่อนไหว

ที่ใช้งานได้ Kinetoscope คิเนโตสโคป  เป็นเครื่องฉายภาพเคลื่อนไหว 


16. เขาประสบความสำเร็จในการพัฒนาแบตเตอรี่เก็บอัลคาไลน์ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานของพวกแผ่นเสียง (หีบเสียง)


17. ปี 1912 ผู้ผลิตรถยนต์ Henry Ford ได้ขอให้ Edison ออกแบบแบตเตอรี่สำหรับระบบสตาร์ทอัตโนมัติ

 ของ รถFord Model T เป็นชื่อรถยนต์ในยุคบุกเบิก  ออกแบบโดย เฮนรี่ ฟอร์ด, ชิลด์ ฮารอลด์ วิลส์ 


18. เขาเสียชีวิตในปี 1931  West Orange, นิวเจอร์ซีย์, อเมริกา แต่งงาน 2 ครั้ง มีบุตร 6 คน 


19. เอดิสัน เป็นนักประดิษฐ์และนักธุรกิจที่เก่งกาจ


20. มีได้รับสิทธิบัตรจำนวน 1,093 ฉบับ ที่เขานั้นทั้งเป็นเจ้าของเองโดยไม่มีข้อโต้แย้ง และ ต่อสู้ทาง

กฎหมายมาด้วย


21. เป็นผู้อยู่ทั้งเบื้องหน้าเบื้องหลังนวัตกรรมต่างๆ เช่น แผ่นเสียง หลอดไส้ แบตเตอรี่อัลคาไลน์ และ

กล้องถ่ายภาพเคลื่อนไหวรุ่นแรก


22. เขายังได้สร้างห้องปฏิบัติการวิจัยอุตสาหกรรมแห่งแรกของโลก


23. เอดิสันเป็นที่รู้จักในนาม "พ่อมดแห่งเมนโลพาร์ค


24. ทั่วโลกนับถือและให้เขาเป็นหนึ่งในสุดยอดนักประดิษฐ์ ผู้มีความสำคัญ เป็นบุคคลสำคัญของโลก 

ทั้งในอดีต จนมาถึงปัจจุบันอีกด้วย


25. โทมันอัลวา เอดิสัน มี สิทธิบัตร 389 ฉบับสำหรับไฟและพลังงานไฟฟ้า


26. โทมันอัลวา เอดิสัน มี สิทธิบัตร 195 ฉบับสำหรับแผ่นเสียง


27. โทมันอัลวา เอดิสัน มี สิทธิบัตร 150 สำหรับโทรเลข


28. โทมันอัลวา เอดิสัน มี สิทธิบัตร 141 สำหรับแบตเตอรี่แบบชาร์จไฟได้


29. โทมันอัลวา เอดิสัน มี สิทธิบัตร 34 สำหรับโทรศัพท์ 


30. ก่อตั้งบริษัทผลิตภาพยนตร์ ภายใต้ชื่อ Edison Trust


31. ได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์จาก Union College


32. รางวัลนักประดิษฐ์ยอดเยี่ยมตลอดกาล ซึ่งคนดังอีกคนที่ได้ ในรุ่นหลังคือ สตีฟ จ็อบส์


33. เหรียญ Edward Longstreth Medal


34. เหรียญเกียรติยศกองทัพเรือเป็นเครื่องราชอิสริยาภรณ์ทางทหารของกองทัพเรือสหรัฐอเมริกาและ

นาวิกโยธินสหรัฐ / Navy Distinguished Service Medal


35. รางวัล Technical Grammy Award เนื่องด้วย ผู้ประดิษฐ์แผ่นเสียง เทคโนโลยีภาพยนต์ยุคแรก และ

หลอดไส้


36. เหรียญทองของรัฐสภาแห่งสหรัฐอเมริกา (Congressional Gold Medal)


37. The Grammy Trustees Award ปี 1977 ให้กับบุคคลที่มีส่วนสำคัญในด้านดนตรี นอกเหนือ

จากการแสดง


38. Albert Medal เหรียญอัลเบิร์ตของสมาคมศิลปศาสตร์  ให้แก่ผู้ที่โดดเด่นในการส่งเสริมศิลปะ

ผู้ผลิตและการค้า


39. Matteucci Medal เป็นรางวัลที่ตั้งตาม คาร์โล มัตเตอุชชี่ (Carlo Matteucci) นักฟิสิกส์ชาวอิตาลี 


40. Franklin Medal เหรียญรางวัลแฟรงคลินเป็นรางวัลวิทยาศาสตร์ โดยสถาบันแฟรงคลิน


41. Rumford Prize เป็นหนึ่งในรางวัลวิทยาศาสตร์ที่เก่าแก่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา  มอบให้ เอดิสัน

สำหรับงานไฟฟ้าแสงสว่าง


42. John Scott Legacy Medal and Premium รางวัลจอห์น สก็อตต์  


43. John Fritz Medal เหรียญ John Fritz   โดย American Association of Engineering Societies

 สำหรับ "ความสำเร็จทางวิทยาศาสตร์หรือทางอุตสาหกรรมที่โดดเด่น" 


จอห์น ฟริตซ์  ผู้บุกเบิกเทคโนโลยีเหล็กและเหล็กกล้าของสหรัฐอเมริกาที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น 

"บิดาแห่งอุตสาหกรรมเหล็กในสหรัฐฯ"





วันเสาร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2565

โจเซฟ สตาลิน (Joseph Stalin) เผด็จการแห่งสหภาพโซเวียต



โจเซฟ สตาลิน เผด็จการแห่งสหภาพโซเวียต


 โจเซฟ สตาลิน ผู้นำสหภาพโซเวียต


โจเซฟ สตาลิน เกิด โยเซบ เบซาริโอนิส ดซูกัสวิลี18 ธันวาคม ค.ศ. 1878 โกรี เขตผู้ว่าการติฟลิส 

จักรวรรดิรัสเซีย บุคคลสำคัญเป็นผู้นำของสหภาพสาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียต (USSR) ตั้งแต่ปี 1929

 ถึง ปี 1953 ผู้ที่ทำให้สหภาพโซเวียตเปลี่ยนแปลงจากสังคมการเกษตรและชาวนามาเป็นมหาอำนาจ

ทางอุตสาหกรรมและการทหาร เขาปกครองผู้คนในสหภาพด้วยความโหดร้ายสร้างความหวาดกลัว

ไปทั่วทุกแห่ง ในยุคของเขาประชาชนนั้นถูกปราบปรามและเสียชีวิตนับล้านคน

พื้นเพเขาเป็นคนยากจน เข้ามามีส่วนร่วมกับการปฏิวัติของกลุ่มบอลเชวิค ที่ทำให้ราชวงศ์โรมานอฟ 

ต้องล่มสลาย นั่นเป็นก้าวแรกสู่เส้นทางของเขาและเข้ามามีบทบาทในพรรคสังคมนิยมมากขึ้น 

หลังจากเลนิน เสียชีวิต เขาก็เข้าควบคุมพรรคเอาไว้ได้ รวมอำนาจไว้ที่ตัวเองและเริ่มจุดการศัตรู

ทางการเมืองที่เห็นต่างกับตัวเองเขานั้นเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยอยู่ฝ่ายสัมพันธมิตร 

ต่อต้านการรุกรานจากเยอรมันและเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เยอรมันติดหล่มในสงครามกับโซเวียต 

ส่งผลให้พ่ายแพ้ไปแต่ต้องให้เครดิตอะมริกาอย่างมากในด้านการสนับสนุนยุทธปัจจัย 

ให้แก่โซเวียตทั้งแบบให้เปล่าและให้ยืม ต่อมาเมื่อสงครามโลกจบ ด้วยความที่การปกครอง

และระบอบที่แตกต่างกันกับอดีตพันธมิตรร่วมรบที่ไม่ค่อยจะไว้ใจกันแต่แรก ทำให้สตาลินและโซเวียต 

เข้าสู่เกมสงครามเย็นกับอดีตเพื่อนร่วมรบอย่างอเมริกา ที่ก็ไม่ค่อยไว้ใจกันตั้งแต่แรกอยู่แล้ว

โจเซฟ สตาลิน (Joseph Stalin)


1. สตาลินเกิด Josef Vissarionovich Dzhugashvili เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2421 หรือ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2421


2. พ่อของเขาเป็นช่างทำรองเท้าและติดเหล้าและชอบทุบตีเขา


3. แม่ของเขาเปิดร้านซักรีด


4. เขาได้รับอิทธิพลจากการศึกษาจากการอ่านงานของนักปรัชญาทางสังคมของเยอรมัน และ 

คาร์ล มาร์กซ์


5. สตาลินมีความสนใจในการต่อต้านสถาบันกษัตริย์ของรัสเซีย


6. หลังจากโดนไล่ออกจากโรงเรียนเนื่องจากการขาดเรียน สตาลิน ก็ได้เข้าไปมีบทบาททางการเมือง

ในรูปแบบใต้ดิน


7. ทั้งร่วมประท้วง หรือการหยุดงานประท้วงของแรงงาน


8. เขาเข้าไปมีส่วนร่วมกับบอลเชวิค ที่นำโดยเลนิน และทำผิดกฎหมายหลายครั้งจนโดนจำคุก

และ เนรเทศไปไซบีเรีย


9. เขาแต่งงาน 2 ครั้งและมีลูกนอกสมรสหลายคน


10. สตาลินได้รับการแต่งตั้งเป็น คณะกรรมการกลางชุดแรกของพรรคบอลเชวิค หลังเลนินต้องลี้ภัย

ไปอยู่สวิตเซอร์แลนด์


11. บอลเชวิคเข้ายึดอำนาจในรัสเซีย ก่อตั้งสหภาพโซเวียต ในปี 1922 


12. เลนิน ได้แต่งตั้งให้สตาลินขึ้นเป็นเลขาธิการคณะกรรมการกลางของพรรคคอมมิวนิสต์


13. ด้วยตำแหน่งนี้สตาลินสามารถ แต่งตั้งพรรคพวกลูกน้องตัวเองเข้ามาทำงานให้รัฐบาลและพรรคได้ 

จึงเสริมอำนาจบารมีทางการเมืองของตัวเองไปด้วยในตัว


14. หลังเลนินเสียชีวิตในปี 1924 สตาลิน ก็สามารถแย่งชิงอำนาจจากคู่แข่งคนอื่นขึ้นเป็นผู้นำที่มีอำนาจ

เด็ดขาด ที่สุดของพรรคคอมมิวนิสต์ได้


15. เขาเริ่มนโยบายที่จะทำให้โซเวียต เปลี่ยรจากสังคมชาวนาหรือเกษตรกร มาเป็นมหาอำนาจทาง

อุตสาหกรรทด้วยการเข้าไปควบคุม เกษตรชาวนานับล้าน 


16. จากการเข้าไปควบคุมแกมบังคับทำให้ชาวนานับล้านต่อต้าน จึงเป็นเหตุให้ชาวนานับล้านคนต้อง

ถูกยิงทิ้งหรือเนรเทศ


17. เขาปกครองด้วยความเผด็จการ สร้างความหวาดกลัวแก่ผู้คน


18. เขาได้ทำการ เปลี่ยนชื่อเมืองวอลโกกราดเป็นสตาลินกราด เขียนหนังสือประวัติศาสตร์ของโซเวียต

โดยให้ตัวเองเด่น เข้าไปมีตัวตนอยู่ใน เพลงชาติโซเวียต ควบคุมสื่อและกวาดล้างคนเห็นต่าง


19. ช่วงแรกในสงครามโลกครั้งที่สอง เขากับ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ผู้นำนาซี ลงนามในสนธิสัญญาไม่รุกรานกัน


20. ไม่นานโซเวียตจึงเริ่มไปผนวกดินแดน ของโปแลนด์ โรมาเนีย เอสโตเนีย ลัตเวีย ลิทัวเนีย และยังไป

รุกรานฟินแลนด์


21. ปี 1941 เยอรมันทรยศต่อสนธิสัญญาไม่รุกรานกันกับโซเวียต จึงเกิดก่อนสงคราม กับโซเวียตขึ้น

 เยอรมันบุกยึดจนใกล้จะถึงมอสโก


22. สตาลิน สามารถเอาชนะนาซีเยอรมันที่ ยุทธการสตาลินกราด ด้วยการใช้วิธีคลื่นมนุษย์ เข้าทำลาย

กองทัพเยอรมันทำให้กองทัพแดงของโซเวียตเป็นฝ่ายชนะ


23. เขามีส่วนนึงที่ทำให้เยอรมันติดหล่มในดินแดนโซเวียตส่งผลให้ฝ่ายสัมพันธมิตร ได้เปรียบจนสามารถ

มีชัยเหนือฝ่ายอักษะของเยอรมันได้สำเร็จ 


24. แม้สงครามจะจบไปแล้วเขายังคงปราบ กวาดล้าง เนรเทศไปใช้แรงงาน สำหรับผู้ที่เห็นต่าง


25. สตาลินได้เข้าไปมีอิทธิพล ในประเทศยุโรปต่างๆ และทั่วโลกในการเผยแพร่ลัทธิคอมมิวนิสต์ และ

นำโซเวียตเข้าสู่ยุคนิวเคลียร์ เขาและสหรัฐอเมริกายืนกันลงคนละฝ่ายในสงครามเย็นและส่งเสริมให้

เกิดสงครามเกาหลี ทำให้สองเกาหลีต้องแยกออกเป็น เหนือ ใต้


26. สตาลินเสียชีวิตในวันที่ 5 มีนาคม 1953 ด้วยโรคหลอดเลือดสมอง ร่างของเขาถูกนำไปเก็บไว้

 ในสุสานของเลนินที่จตุรัสแดงกรุงมอสโก 


27. แต่ปี 1961 ร่างของเขาก็ถูกนำไปฝังไว้ใกล้กับกำแพงเครมลิน เพราะผลมาจากนโยบายของ 

นิกิต้า ครุสชอฟ ผู้นำคนใหม่ของโซเวียต ที่ต้องการ ล้มล้างอิทธิพลของสตาลิน หรือเรียกว่า 

นโยบายล้มล้างอิทธิพลของสตาลิน De-Stalinization 


28. ในช่วงที่อยู่ในอำนาจมีการคาดการว่า สตาลินต้องรับผิดชอบต่อการเสียชีวิตของผู้คนมากถึง 20 ล้านคน

จากการปกครองที่โหดเหี้ยม เผด็จการของเขา



วันอาทิตย์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2565

วาซีลี ไซเซฟ ( Vasily Zaitsev )พลซุ่มยิง วีรบุรุษแห่งสหภาพโซเวียต

 


วาซีลี ไซเซฟ พลซุ่มยิง วีรบุรุษแห่งสหภาพโซเวียต


23 มีนาคม พ.ศ. 2458 – 15 ธันวาคม พ.ศ. 2534 ในระหว่างวันที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2485 

ถึง 19 ตุลาคม พ.ศ. 2485 เขาได้สังหารทหารศัตรู 40 นาย

วาซีลี ไซเซฟ ( Vasily Zaitsev )


ในช่่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่นาซีเยอมัน บุกโซเวียตระหว่างวันที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2485 

ถึง 17 ธันวาคม พ.ศ. 2485 ระหว่างยุทธการสตาลินกราด เขาได้สังหารทหารศัตรู 225 นาย


วาซีลี ไซเซฟ กลายเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงในช่วงสงครามและต่อมาได้กลายเป็นวีรบุรุษแห่ง

สหภาพโซเวียต และเขายังคงได้รับการยกย่องในทักษะของเขาในฐานะมือ พลซุ่มยิง 


วาซีลี ไซเซฟ เกิดใน Yeleninskoye เขตผู้ว่าการ Orenburg ในครอบครัวชาวนาเชื้อสายรัสเซีย 

และเติบโตขึ้นมาในเทือกเขาอูราล ที่ซึ่งเขาเรียนรู้ทักษะการยิงปืนจากการล่ากวางและหมาป่ากับปู่

และพี่ชายของเขา 


ในปี 1930 วาซีลี ไซเซฟ  สำเร็จการศึกษาจากวิทยาลัยการก่อสร้างในเมือง Magnitogorsk ซึ่งเขาได้รับ

ความเชี่ยวชาญพิเศษด้านช่างฟิต เขาเรียนบัญชีด้วย


ปี 1937 เขาได้เจ้ารับราชการทหารในกองเรือของกองทัพเรือรัสเซียในมหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งเขาเป็น

เสมียนกรมปืนใหญ่ หลังจากเรียนที่โรงเรียนทหาร เขาได้รับแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าแผนกการเงินของ 

กองทัพเรือรัสเซียในมหาสมุทรแปซิฟิก รับใช้ในกองทัพเรือโซเวียตในฐานะเสมียนในวลาดิวอสต็อก 

เมื่อนาซีเยอรมนีบุกสหภาพโซเวียตในปฏิบัติการบาร์บารอสซา เขาได้ย้ายตัวเองไปในแนวหน้า

 เขาได้รับยศจ่าสิบเอกในกองทัพเรือ


เขาได้รับมอบหมายให้เป็นกรมปืนไรเฟิลที่ 1047 ของกองปืนไรเฟิล "Tomsk" ที่ 284 ซึ่งต่อมาได้กลายเป็น

ส่วนหนึ่งของกองทัพที่ 62 


วาซีลี ไซเซฟ มีความแม่นยำในการใช้ไรเฟิลมาก เขาจะซ่อนตัวอยู่ในสถานที่ต่างๆ เช่น บนที่สูง 

ใต้ซากปรักหักพัง หรือในท่อน้ำ หลังจากสังหารศัตรูได้เขาจะเปลี่ยนตำแหน่งตัวเอง


วาซีลี ไซเซฟ ต่อสู้ในยุทธภูมิสตาลินกราดจนถึงมกราคม 2486 เมื่อการโจมตีด้วยปืนครกทำให้ดวงตา

ของเขาบาดเจ็บ บางที่มาบอกว่าเขาโดนทุ่นระเบิด ทำให้บาดเจ็บที่ตา ซึ่งก่อนหน้าเขาจะได้รับบาดเจ็บ

นั้นเขาได้สังหารข้าศึกไปมากกว่า 225 คน ในยุทธการสตาลินกราดเพียงลำพัง



วันที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2486 Zaitsev ได้รับรางวัลฮีโร่แห่งสหภาพโซเวียต เขากลับมาที่แนวรบ 

และสิ้นสุดสงครามที่ยุทธภูมิ Seelow Heights ในเยอรมนี โดยมียศร้อยเอกทางทหาร เขาเข้าเป็นสมาชิก

พรรคคอมมิวนิสต์ในปี พ.ศ. 2486 


หลังสงคราม วาซีลี ไซเซฟ ตั้งรกรากใน เคียฟ เป็นผู้อำนวยการโรงงานทอผ้าในเคียฟ ซึ่งเขายังคงอยู่

จนกระทั่งเสียชีวิตในวันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2534 เมื่ออายุ 76 ปี 11 วันก่อนการล่มสลายของสหภาพ

โซเวียต


รางวัลและเกียรติยศของวาซีลี ไซเซฟ


วีรบุรุษแห่งสหภาพโซเวียต


Order of Lenin เป็นเครื่องราชอิสริยาภรณ์สูงสุดสำหรับพลเรือนที่มอบให้โดยสหภาพโซเวียต


Two Orders of the Red Banner เป็นรางวัลสูงสุดของโซเวียตรัสเซีย ต่อมาคือ สหภาพโซเวียต


Order of the Patriotic War 1st Class เป็นเครื่องราชอิสริยาภรณ์ของทหารโซเวียตที่มอบให้กับทหาร

ทุกคนในกองทัพโซเวียต  กองกำลังรักษาความปลอดภัย และแก่พรรคพวกสำหรับวีรกรรมระหว่าง

สงครามเยอรมัน-โซเวียต ซึ่งเป็นที่รู้จักตั้งแต่กลางทศวรรษ 1960 ในอดีตสหภาพโซเวียตในชื่อ

มหาสงครามแห่งความรักชาติ


Medal "For Courage" เหรียญ "สำหรับความกล้าหาญ" 


พลเมืองกิตติมศักดิ์ของวีรบุรุษเมืองโวลโกกราด ( สตาลินกราด )


นักแม่นปืนที่ดีที่สุดในโลกตลอดกาล (มอสโก)





วันอังคารที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2565

อาร์คิมิดีส (Archimedes) อัจฉริยะแห่งโลกยุคโบราณ

 


อาร์คิมิดีส (Archimedes) อัจฉริยะแห่งโลกยุคโบราณ


อาร์คิมิดีส นักคณิตศาสตร์ วิศวกร นักประดิษฐ์ นักปราชญ์ และนักฟิสิกส์เชิงคณิตศาสตร์ ที่ได้รับการ

ยกย่องว่า บุคคลสำคัญของโลก เป็นนักคณิตศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกโบราณ

 และยิ่งใหญ่ที่สุดคนนึงตลอดกาล เป็นที่นับถือของนักคณิตศาสตร์รุ่นหลัง มีอายุอยู่ในช่วงปี 287-212 

ก่อนคริสตกาล

อาร์คิมิดีส (Archimedes) อัจฉริยะแห่งโลกยุคโบราณ


         เขาเกิดในซีราคิวส์ ซิซิลี ที่นั่นเขาทำงานเกี่ยวกับวิศวะกร การสร้างอาวุธ และป้อมหรืออุปกรณ์

ที่ใช้ป้องกันเมือง ให้กับ กษัตริย์ Hiero ที่2 แห่ง ซีราคิวส์ ซึ่งได้ใช้ตาอต้านพวกโรมันด้วยในตอนหลัง

เขานั้นเป็นที่รู้จีดและมีชื่อเสียงจากการที่เป็นสุดยอดนักคณิตศาสตร์ ในเรื่องการใส่ใจและหมกมุ่น

เกี่ยวกับมัน และยังเป็นที่รู้จักจากการที่เขาผลิต สกรูอาร์คิมิดีส หรือ เกลียวอาร์คิมิดีส อีกด้วย 

มันคือเกลียวที่ใช้ย้ายน้ำด้วยมือหมุนที่สะดวกสบายมากในสมัยนั้น สามารถขนย้ายน้ำได้อย่างรวดเร็ว 

และในยุคหลังจากนั้นก็มีการดัดแปลงงานของเขาไปใช้ใน อุตสาหกรรมส่งถ่านหิน หรือของต่างๆ

รวมไปถึงแนวทางในการทำใบจักรเรือไอน้ำ อาจจะรวมไปถึงช่วงที่เป็นยุคของสวนลอยบาบิโลน 

ก็อาจมีการสันนิษฐานว่า ได้ดัดแปลงของสิ่งนี้เพื่อใช้ทดน้ำขึ้นไปบนสวนลอยอีกด้วย 


มีช่วงเวลานึงที่บิดาของเขาได้ส่งเขาไปที่เมือง อเล็กซานเดรีย ซึ่งตอนนั้นกำลังอยู่ในช่วงการเริ่มต้น

เพื่อจะเป็นศูนย์กลางทางด้านปัญญา ตอนอยู่ที่อเล็กซานเดรีย เขาเป็นเพื่อนกับ อีราทอสเทเนสแห่งไซรีน 

และโคนอนแห่งซามอส ทั้ง2 เป็นนักคณิตศาสตร์และนักดาราศาสตร์ ชื่อดังอีกด้วย 


เขาได้สร้างผลงานอย่างอื่นไว้อีกเช่น หลักการของอาร์คิมิดีส หลักการลอยแทนที่ และการไหลของวัตถุ

ที่ลอยอยู่ ซึ่งเป็นที่รู้จจักในการหาปริมาตรของ มงกุฎทองคำ ว่ามีการโกงทองคำที่ใช้ทำมงกุฎหรือไม่ 


ในเรื่องคณิตศาสตร์นั้นก็มีความก้าวหน้าเพิ่มขึ้นหลายๆอย่าง

เล่น ทฤษฎีเครื่องกล เกลียวอาร์คิมิดีส การกำหนดค่า Pi หาพื้นที่ของวงกลม และใช้สูตรแนวคิดกณิกนันต์

 แก้โจทย์ ซึ่งมีความคล้ายกับแคลคูลัสในยุคนี้ 


เครื่องจักรสงคราม เขาก็มีส่วนในการทำเช่นกัน เขาประดิษฐ์เครื่องวัดระยะทาง เพื่อใช้ปรับปรุงเครื่องยิง

ที่ใช้ป้องกันเมืองจากพวกโรมัน


ในช่วงสงครามพิวนิกครั้งที่ 2 นั้นแต่เดิมซีราคิวส์นั้นเป็นพันธมิตรกับโรมแต่พายหลังได้ย้ายข้างไป

สนับสนุนคาร์เธจ ซึ่งมียอดนักรบของโลกคนนึง อย่างฮันนิบาล บาร์คา นำทัพอยู่ โดยรอบนี้ทางโรม

ได้ส่งนายพล มาคัส เคลาดิอุส มาแซลลัส มากับ แอพพริอุส เคลาดิอุส พูลเชอร์ บุกตี ซีราคิวส์ แต่ต้อง

มาเจอกับเครื่องยิงที่ได้รับการปรับปรุงมา อย่างดีและ กรงเล็บของอาร์คิมิดีส รวมไปถึงรังสีความร้อน

ของอาร์คิมิดีส


กรงเล็บของอาร์คิมิดีสคือ แขนกลที่อยู่หลังกำแพงที่เวลาเรือของศัตรู แล่นดข้ามาชิดก็จะสั่งทำงาน

ให้แขนกลนั้นหย่อนเลือกลงไปที่เรือแล้วยกขึ้นพลิกเรือคว่ำ หรือบางอันก็จะมีแขนยื่นอยู่ใต้น้ำมีเหล็ก

ขนาดใหญ่แบบกรงเล็บพอเรือเข้ามาในระยะก็จะถูกกลไก ทำให้เหล็กงับบีบลำเรือ เสมือนโดนกรงเล็บ

ขยุ้ม อีกแบบคือ ปล่อยหินลงไปทุบเรือจากด้านบน  ละยังมีที่สันนิษฐานว่าอาจมีแบบลูกล้อเหล็กที่เวลา

เรือแล่นเข้าหา กำแพงแล้วจะปล่อยรางที่มีลูกเหล็กใหญ่ไหลลงมากระแทกหัวเรือทำให้เรือจม 

ถ้ายังนึกภาพไม่ออกลองเข้ายูทูปแล้วพิมพ์คำว่า Archimedes Claw 



รังสีความร้อนของ อาร์คิมิดีส หลักการง่ายๆคล้ายแว่นขยายส่องให้ไฟลุกกระดาษที่เราเคยเรียนกัน

ตอนเด็กๆ แตกต่างกันนิดหน่อยเพราะที่ใช้ในสงครามนั้นใช้กระจกหรือวัตดุหิวเคบ่อบอาจจะทองแดง

หรืออย่างไรแบบสะท้อนแสง จากดวงอาทิตย์ไปโฟกัสที่ลำเรือเพราะ ซีราคิวส์เป็นเกาะ จะบุกต้องใช้เรือ

 เรือสมัยก่อนเป็นไม้และอาจจะทาด้วยยางไม้ด้วยเช่นกัน  ทำให้ติดไฟได้ง่ายเวลาเจอรวมแสงแบบนั้น



ถึงการป้องกันของซีราคิวส์จะดีแค่ไหนก็ไม่อาจต้านทานกองทัพโรมมันที่ยิ่งใหญ่ได้ในที่สุดเมืองก็แตก

และระหว่างนั้น ทางโรมันได้ให้ทหารค้นหาตามตัวอาร์คิมิดีสเพื่อนำตัวไปช่วยพัฒนากรุงโรม เพราะตอน

นั้นเขาถือบุคคลที่ยิ่งใหญ่มากในยุค โดยต้องการตัวเป็นๆไม่เป็นอันตรายใดๆ เมื่อนายทหารคนนึงของ

นายพล มาแซลลัส เจอกับอาร์คิมิดีสเข้าจึงจะนำตัวไป แต่ตอนนั้นเขากำลังคิดแก้ปัญหาคณิตศาสตร์อยู่

จึงบอกว่าไม่อย่ามายุ่งขอแก้ปัญหานี้เสร็จก่อน ด้วยความโมโหหรือเพราะเพื่อแค้นที่เพื่อนทหารของ

ตัวเองตายด้วยฝีมือเครื่องจักสงครามของอาร์คิมิดีสก็ไม่ทราบได้ จึงสังหารเขาด้วยดาบทั้งๆที่มีการ

บอกกล่าวแล้วว่าต้องการตัวเป็นๆ ทำให้อาร์คิมิดีสเสียชีวิตในช่วง ปีที่212 ก่อนคริสตกาล ระหว่างสงคราม

พิวนิกรรั้งที่ 2 นายพลมาแซลลัสโกรธมากที่ต้องเสียยอดบุคคลที่ล้ำค่าที่สุดแห่งยุคไป