หน้าเว็บ

วันเสาร์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2568

ลินดอน บี. จอห์นสัน Lyndon Baines Johnson หรือ LBJ

 


ลินดอน บี. จอห์นสัน  Lyndon Baines Johnson หรือ LBJ


ลินดอน เบนส์ จอห์นสัน (Lyndon B. Johnson หรือ LBJ) 


และรองประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาคนที่ 37 ในสมัยจอห์น เอฟ. เคนเนดี


เป็นเดโมแครตจากรัฐเท็กซัส เคยดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร


ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1937 ถึง 1949 และวุฒิสภาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1949 ถึง 1961


เป็นประธานาธิบดีคนที่ 36 ของสหรัฐอเมริกา ดำรงตำแหน่งระหว่างปี ค.ศ. 1963 ถึง 1969


เกิด: 27 สิงหาคม ค.ศ. 1908 ที่รัฐเท็กซัส


เสียชีวิต: 22 มกราคม ค.ศ. 1973 ด้วยอาการหัวใจวาย


พรรคการเมือง: พรรคเดโมแครต


คู่สมรส: เลดีเบิร์ด จอห์นสัน


เส้นทางการเมือง


สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ (1937–1949)


วุฒิสมาชิกจากรัฐเท็กซัส (1949–1961)


ผู้นำเสียงข้างมากในวุฒิสภา (1955–1961)


รองประธานาธิบดีคนที่ 37 (1961–1963) ภายใต้ประธานาธิบดีจอห์น เอฟ. เคนเนดี


ประธานาธิบดีคนที่ 36 (1963–1969) หลังการลอบสังหารเคนเนดี


ผลงานสำคัญ


กฎหมายสิทธิพลเมือง (Civil Rights Act) ปี 1964: ยุติการแบ่งแยกเชื้อชาติในสถานที่สาธารณะ


โครงการ Great Society: มุ่งเน้นการลดความยากจนและส่งเสริมการศึกษา


Medicare และ Medicaid: ระบบประกันสุขภาพสำหรับผู้สูงอายุและผู้มีรายได้น้อย


สงครามเวียดนาม: ขยายบทบาทของสหรัฐในสงครามอย่างมาก ซึ่งส่งผลให้คะแนนนิยมลดลง


จอห์นสันลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาในปี ค.ศ. 1960 แต่ไม่ประสบความสำเร็จ 


แต่ต่อมาได้รับเลือกจากจอห์น เอฟ. เคนเนดี ผู้สมัครจากพรรคเดโมแครตและวุฒิสมาชิกรัฐแมสซาชูเซตส์


ให้เป็นคู่หู ทั้งสองเอาชนะริชาร์ด นิกสัน ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจากพรรครีพับลิกัน


อย่างหวุดหวิดในการเลือกตั้งทั่วไป และจอห์นสันได้เข้ารับตำแหน่งรองประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา


เมื่อวันที่ 20 มกราคม ค.ศ. 1961 ในวันที่ 22 พฤศจิกายน ค.ศ. 1963


เคนเนดีถูกลอบสังหาร จอห์นสันสืบทอดตำแหน่งประธานาธิบดีต่อจากเขา และได้รับการเลือกตั้ง


อีกครั้งในการเลือกตั้งประธานาธิบดีปี ค.ศ. 1964 โดยเอาชนะแบร์รี โกลด์วอเตอร์ 


ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจากพรรครีพับลิกันและวุฒิสมาชิกรัฐแอริโซนา


จอห์นสันเสนอกฎหมาย ส่งเสริมสิทธิพลเมือง การกระจายเสียงสาธารณะ 


การดูแลสุขภาพของรัฐบาลกลาง เมดิเคด วามช่วยเหลือด้านการศึกษา ศิลปะ การพัฒนาเมือง


และชนบท บริการสาธารณะ และ "สงครามต่อต้านความยากจน"


เศรษฐกิจได้ยกระดับชาวอเมริกันหลายล้านคนให้หลุดพ้นจากความยากจน


ได้ปฏิรูประบบตรวจคนเข้าเมืองของสหรัฐอเมริกา โดยยกเลิกระบบโควต้าผู้อพยพ


ตามเชื้อชาติ และนำระบบที่อิงตามชาติกำเนิดมาใช้


มีส่วนร่วมของสหรัฐอเมริกาในสงครามเวียดนามค่อยๆ เพิ่มสูงขึ้น รัฐสภาสหรัฐฯ


ได้ผ่านมติอ่าวตังเกี๋ย ซึ่งให้อำนาจจอห์นสันในการใช้กำลังในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้


โดยไม่ต้องประกาศสงคราม


ความไม่พอใจต่อสงครามนำไปสู่การเคลื่อนไหวต่อต้านสงครามขนาดใหญ่


ทั้งในมหาวิทยาลัยและต่างประเทศของอเมริกาและกลุ่มต่อต้านสงคราม


ได้วิพากษ์วิจารณ์จอห์นสันซึ่งส่งผลให้คะแนนนิยมลดลง จอห์นสันพ่ายแพ้อย่างย่อยยับในการเลือกตั้งขั้นต้น


ของพรรคเดโมแครตในปี 1968 ที่รัฐนิวแฮมป์เชียร์ ทำให้เขาต้องถอนตัวจากการเลือกตั้งใหม่ 


ต่อมาริชาร์ด นิกสัน ผู้สมัครจากพรรครีพับลิกัน ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดี


จอห์นสันพ้นจากตำแหน่งในเดือนมกราคม 1969 และกลับไปใช้ชีวิตที่ฟาร์มปศุสัตว์ในรัฐเท็กซัส


ตลอดชีวิตที่เหลือ เขาเสียชีวิตด้วยอาการหัวใจวายเมื่อวันที่ 22 มกราคม 1973 ขณะมีอายุได้ 64 ปี


วันพฤหัสบดีที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

สมเด็จพระจักรพรรดินีแคเธอรีนที่ 2 (Catherine the Great)

 


สมเด็จพระจักรพรรดินีแคเธอรีนที่ 2 (Catherine the Great)


สมเด็จพระจักรพรรดินีแคเธอรีนที่ 2 หรือที่รู้จักกันทั่วไปว่า แคเธอรีนมหาราช (Catherine the Great)

เป็นหนึ่งในพระมหากษัตริย์หญิงที่ทรงอิทธิพลและมีชื่อเสียงที่สุดในประวัติศาสตร์ยุโรป โดยเฉพาะในรัสเซีย


คุณพ่อ-คริสเตียน ออกัสต์ เจ้าชายแห่งอันฮัลต์-เซิร์บสต์ ( Christian August, Prince of Anhalt-Zerbst )

คุณแม่-โจอันนา เอลิซาเบธแห่งโฮลชไตน์-ก็อททอร์ป ( Joanna Elisabeth of Holstein-Gottorp )


พระนามเต็ม: เยกาเทรีนา อาเล็กเซเยฟนา (Yekaterina Alekseyevna)

พระราชสมภพ: 2 พฤษภาคม ค.ศ. 1729 ณ เมืองชเต็ตติน (ปัจจุบันคือ Szczecin ประเทศโปแลนด์)

พระราชสวรรคต: 17 พฤศจิกายน ค.ศ. 1796

พระสวามี: สมเด็จพระจักรพรรดิปีเตอร์ที่ 3 แห่งรัสเซีย

ขึ้นครองราชย์: ค.ศ. 1762 – 1796


แคเธอรีนมิได้เป็นชาวรัสเซียโดยกำเนิด แต่เป็นเจ้าหญิงเยอรมัน

หลังจากสมรสกับปีเตอร์ที่ 3 เธอได้มีบทบาททางการเมืองมากขึ้น

ปีเตอร์ที่ 3 ถูกโค่นล้มจากราชบัลลังก์โดยรัฐประหาร ซึ่งแคเธอรีนมีส่วนร่วมอย่างสำคัญ

เธอจึงขึ้นครองราชย์แทน และกลายเป็นจักรพรรดินีแห่งรัสเซีย

หลังจากทรงโค่นล้มพระสวามี พระเจ้าปีเตอร์ที่ 3 ด้วยการรัฐประหาร 

พระองค์ได้ขึ้นครองราชย์เป็นจักรพรรดินีรัสเซีย และทรงเป็นพระมหากษัตริย์

ที่ครองราชย์ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์จักรวรรดิรัสเซีย โดยครองราชย์นานถึง 34 ปี


ผลงานและการปฏิรูป


ส่งเสริม การศึกษา, ศิลปะ, และ ปรัชญาแห่งยุคแสงสว่าง (Enlightenment)

ขยายอาณาเขตของรัสเซียอย่างมาก โดยเฉพาะทางตอนใต้และตะวันตก

ปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดินและกฎหมาย

สนับสนุนการตั้งหอสมุดและพิพิธภัณฑ์ เช่น Hermitage Museum ในเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก


เป็นผู้หญิงที่มีสติปัญญาเฉียบแหลมและมีความทะเยอทะยาน

มีความสัมพันธ์กับนักปรัชญาชื่อดัง เช่น วอลแตร์ (Voltaire) และดีเดอโรต์ (Diderot)

แม้จะมีข่าวลือและเรื่องเล่ามากมายเกี่ยวกับชีวิตส่วนตัวของเธอ 

แต่เธอก็ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในผู้นำที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของรัสเซีย



พระองค์ทรงเป็นผู้นำที่มีวิสัยทัศน์และมีบทบาทสำคัญในการปฏิรูปรัสเซีย

ให้ทันสมัยขึ้นในหลายด้าน โดยเฉพาะในยุคแห่งแสงสว่าง (Age of Enlightenment) 

ซึ่งแนวคิดจากยุโรปตะวันตกมีอิทธิพลต่อพระองค์อย่างมาก


ส่งเสริมการศึกษาโดยก่อตั้งโรงเรียนและมหาวิทยาลัย

สนับสนุนการแปลหนังสือจากภาษาต่างประเทศเป็นภาษารัสเซีย



พยายามร่างกฎหมายใหม่ที่มีพื้นฐานจากหลักเหตุผลและความยุติธรรม

จัดประชุม "Legislative Commission" ในปี 1767 เพื่อรวบรวมความคิดเห็นจากชนชั้นต่าง ๆ

แม้จะไม่สามารถออกกฎหมายใหม่ได้ทั้งหมด แต่ก็เป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิรูปกฎหมายในรัสเซีย


ปรับปรุงระบบการบริหารราชการ โดยแบ่งเขตการปกครองใหม่ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

เพิ่มอำนาจให้ขุนนางในการปกครองท้องถิ่น เพื่อแลกกับความจงรักภักดี


สนับสนุนการพัฒนาเกษตรกรรมและอุตสาหกรรม

ส่งเสริมการตั้งนิคมใหม่ในดินแดนที่เพิ่งยึดมา เช่น ยูเครนและแคว้นโวลก้า


ขยายอาณาเขตของรัสเซียอย่างมาก โดยเฉพาะในแถบทะเลดำและโปแลนด์

ทำให้รัสเซียกลายเป็นมหาอำนาจในยุโรป


แม้แคเธอรีนจะมีแนวคิดก้าวหน้า แต่พระองค์ก็ยังคงรักษาระบบชนชั้นและทาสไว้ 

ซึ่งเป็นข้อขัดแย้งกับแนวคิดเสรีนิยมที่พระองค์สนับสนุนในบางด้าน


การขยายอาณาเขตมีความสำคัญต่อรัสเซียในหลายมิติ ทั้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ 

เศรษฐกิจ ความมั่นคง และอัตลักษณ์ทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม


เพิ่มอิทธิพลในภูมิภาค: การขยายอาณาเขตช่วยให้รัสเซียมีอำนาจควบคุมพื้นที่ยุทธศาสตร์ 

เช่น คาบสมุทรไครเมียที่มีฐานทัพเรือสำคัญในทะเลดำ


ควบคุมทรัพยากรธรรมชาติ: พื้นที่ใหม่อาจมีแหล่งพลังงาน เช่น น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ 

หรือแร่ธาตุ ซึ่งเป็นหัวใจของเศรษฐกิจรัสเซีย


เส้นทางการค้าและโลจิสติกส์: การควบคุมพื้นที่ชายฝั่งหรือเส้นทางคมนาคมสำคัญ

ช่วยให้รัสเซียมีอำนาจต่อรองทางเศรษฐกิจมากขึ้น


ภายใต้การปกครองของพระองค์ รัสเซียได้ฟื้นฟูประเทศ บรรลุจุดสูงสุดทางประวัติศาสตร์ 

และกลายเป็นมหาอำนาจยุโรป


รัชสมัยของพระนางแคทเธอรีนเป็นที่รู้จักกันในชื่อ "ยุคแคทเธอรีน"

พระนางแคทเธอรีนทรงส่งเสริมการก่อสร้างอาคารของชนชั้นสูงแบบคลาสสิกหลายแห่ง 

ซึ่งได้เปลี่ยนโฉมหน้าของรัสเซีย พระนางทรงสนับสนุนแนวคิดของยุคเรืองปัญญา * Age of Enlightenment

อย่างกระตือรือร้น จนได้รับสมญานามว่าทรราชผู้รู้แจ้ง


พระนางแคทเธอรีนยังทรงสนับสนุนศิลปะและส่งเสริมการพัฒนาของยุคเรืองปัญญา

ของรัสเซียอีกด้วย Smolny Palace ที่ก่อตั้งขึ้นในช่วงเวลานี้ถือเป็นสถาบันอุดมศึกษา

สำหรับสตรีที่ได้รับทุนจากรัฐแห่งแรกในยุโรป


สถาบัน Smolny มีบทบาทสำคัญในประวัติศาสตร์รัสเซียโดยเฉพาะอย่างยิ่ง

ในฐานะศูนย์กลางการศึกษาของสตรี และเป็นสำนักงานใหญ่ของพวกบอลเชวิก

ในช่วงต้นของ การ ปฏิวัติ เดือนตุลาคม


รัชสมัยของพระนางแคทเธอรีนเต็มไปด้วยความสำเร็จส่วนพระองค์มากมาย


ในวันที่ 16 พฤศจิกายน ตามปฎิทินเก่า: 5 พฤศจิกายน ค.ศ. 1796 

หลังเวลา 9.00 น. ไม่นานนัก เธอก็ถูกพบนอนอยู่บนพื้น ใบหน้าเป็นสีม่วง 

ชีพจรเต้นอ่อน หายใจตื้น และหายใจลำบาก

แพทย์ประจำราชสำนักวินิจฉัยว่าเป็นโรคหลอดเลือดสมอง

และแม้จะมีความพยายามช่วยชีวิตเธอ แต่เธอก็ตกอยู่ในอาการโคม่า

แม้ว่าจะพยายามประคองพระอาการไว้แค่ไหนก็ตาม

เสด็จสวรรคตในเวลาประมาณ 21:45 นาฬิกาของวันนั้น 

การชันสูตรพลิกศพยืนยันว่าโรคหลอดเลือดสมองเป็นสาเหตุของการเสียชีวิต


มีข่าวลือแพร่สะพัดเกี่ยวกับสาเหตุและลักษณะการตายของเธอ 

ข่าวลือที่โด่งดังที่สุดคือข่าวลือว่าเธอเสียชีวิตหลังจากร่วมประเวณีกับม้า 

ข่าวลือนี้ถูกเผยแพร่อย่างกว้างขวางในสื่อสิ่งพิมพ์เสียดสีทั้งของอังกฤษ

และฝรั่งเศสในช่วงเวลาที่เธอเสียชีวิต

ซึ่งเรื่องนี้ถูกกล่าวซ้ำในวรรณกรรมต่อต้านรัสเซียตลอดศตวรรษที่ 17 และ 18



จักรพรรดิปัฟเวลที่ 1 เปโตรวิช Paul I of Russia ( Pavel I Petrovich )  

ขึ้นสืบราชสมบัติต่อจากพระราชมาดา 





วันเสาร์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

อัลเฟรโด ดิ เอสเตฟาโน Alfredo Stéfano Di Stéfano

 

อัลเฟรโด ดิ เอสเตฟาโน Alfredo Stéfano Di Stéfano



สุดยอดนักฟุตบอลฉายาว่า "เจ้าลูกธนูทอง" 

หนึ่งในนักฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล 

ตำนานของสโมสรเรอัล มาดริด อาร์เจนติน่า




อัลเฟรโด ดิ สเตฟาโน (4 กรกฎาคม 1926 - 7 กรกฎาคม 2014)


สุดยอดนักฟุตบอล  ได้รับฉายาว่า "เจ้าลูกธนูทอง" "Saeta Rubia" 


อัลเฟรโด ดิ สเตฟาโน (Alfredo Di Stéfano) คือหนึ่งในนักฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล 


และเป็นตำนานของสโมสรเรอัล มาดริด


เกิดเมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 1926 ที่ บัวโนสไอเรส, อาร์เจนตินา


มีเชื้อสายอิตาลี ฝรั่งเศส และไอริช


เริ่มต้นอาชีพกับ ริเวอร์เพลท และเคยถูกยืมตัวไปเล่นให้ ฮูราคาน


เส้นทางนักเตะ รวมทั้งหมด: 521 นัด, 376 ประตู


เล่นให้กับ 3 ประเทศ: อาร์เจนตินา (6 นัด), โคลอมเบีย (ไม่เป็นทางการ), และสเปน (31 นัด, 23 ประตู)


🏆 เกียรติประวัติ


ยูโรเปียนคัพ (แชมเปียนส์ลีก): 5 สมัยติดต่อกัน (1956–1960)


ลา ลีกา: 8 สมัย


บัลลงดอร์: 2 สมัย (1957, 1959)


ผู้ทำประตูสูงสุดตลอดกาลอันดับ 2 ของเรอัล มาดริด (216 ประตูในลีก)


ได้รับฉายา: "เจ้าลูกธนูทอง" (Saeta Rubia)


เขาคือหัวใจของทีม เป็นนักเตะที่เล่นได้ทุกตำแหน่งในสนาม นักเตะสารพัดประโยชน์


เขาเคยถอยลงมาเล่นเป็นกองกลางตัวเชื่อมเกม หรือแม้แต่ช่วยเกมรับเมื่อจำเป็น


มีความฟิตระดับสูง วิ่งไม่มีหมดตลอด 90 นาที เป็นหนึ่งในนักเตะยุคแรกที่แสดงให้เห็นว่า


ความฟิตคือกุญแจสู่ความสำเร็จ


ควบคุมบอลได้อย่างยอดเยี่ยมทั้งสองเท้า มีทักษะการเลี้ยงบอลที่ลื่นไหลและแม่นยำ


สามารถจ่ายบอลยาวและสั้นได้อย่างแม่นยำ ยิงได้ทั้งในและนอกกรอบเขตโทษ 


มีความสามารถในการหาพื้นที่และจบสกอร์อย่างเฉียบคม


ยิงประตูในนัดชิงยูโรเปียนคัพได้ถึง 5 ปีติดต่อกัน ซึ่งไม่มีใครทำได้อีกเลย


ดิ สเตฟาโนเริ่มต้นอาชีพค้าแข้งกับริเวอร์เพลตของอาร์เจนตินาเมื่ออายุได้ 17 ปีในปี 1943


ฤดูกาล 1946 เขาถูกยืมตัวไปที่ Club Atlético Huracán แต่เขากลับมาที่ริเวอร์เพลตอีกครั้งในปี 1947


คว้าแชมป์โคปาอเมริกาในปี 1947 กับทีมชาติอาร์เจนตินา


ในปี 1949 ดิ สเตฟาโนเล่นให้กับมิลโลนาริออสแห่งโบโกตาในลีกโคลอมเบีย 


คว้าแชมป์ลีกได้ 6 สมัยในช่วง 12 ปีแรกของอาชีพค้าแข้งในอาร์เจนตินาและโคลอมเบีย


เรอัลมาดริดเซ็นสัญญา เขาก็กลายเป็นส่วนสำคัญของทีมที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด


ทีมหนึ่งตลอดกาล เขาทำประตูในลีกได้ 216 ประตูจาก 282 เกมให้กับเรอัล 


(ซึ่งในขณะนั้นเป็นสถิติของสโมสร แต่ต่อมาถูกแซงหน้าโดยราอูล คริสเตียโน โรนัลโด และคาริม เบนเซมา)


จับคู่กับเฟเรนซ์ ปุสกัสได้อย่างประสบความสำเร็จ ดิ สเตฟาโนทำประตูได้ 49 ประตูจาก 58 เกม 


ซึ่งเป็นประตูสูงสุดตลอดกาลในถ้วยยุโรป


ดิ สเตฟาโนทำประตูในรอบชิงชนะเลิศถ้วยยุโรป 5 ครั้งติดต่อกันให้กับเรอัล มาดริดระหว่างปี 1956 ถึง 1960 


รวมถึงแฮตทริกในครั้งล่าสุด


เขาย้ายไปเอสปันญอลในปี 1964 และเล่นที่นั่นจนกระทั่งแขวนสตั๊ดในวัย 40 ปี


ดิ สเตฟาโนอาศัยอยู่ในสเปนจนกระทั่งเสียชีวิตในปี 2014 เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2000 


เขาได้รับแต่งตั้งให้เป็นประธานกิตติมศักดิ์ของเรอัลมาดริด


วันที่ 24 ธันวาคม 2005 ดิ สเตฟาโนวัย 79 ปีเกิดอาการหัวใจวาย


วันที่ 9 พฤษภาคม 2006 สนามกีฬาอัลเฟรโด ดิ สเตฟาโนได้รับการเปิดอย่างเป็นทางการที่เมืองเรอัลมาดริด 


ซึ่งเป็นที่ที่เรอัลมาดริดมักจะฝึกซ้อม


หลังจากเกิดอาการหัวใจวายอีกครั้งในวันที่ 5 กรกฎาคม 2014 ดิ สเตฟาโน วัย 88 ปี ได้ถูกย้ายไปยังห้องไอซียู


ที่โรงพยาบาลเกรโกริโอ มาราญอน ในกรุงมาดริด และเสียชีวิตในวันที่ 7 กรกฎาคม 2014


เกียรติประวัติ แบบเต็มๆ 


River Plate


Argentine Primera División: 1945, 1947

Copa Aldao: 1947

South American Championship of Champions runner-up: 1948



Millonarios


Campeonato Profesional: 1949, 1951, 1952

Copa Colombia: 1953



Real Madrid


La Liga: 1953–54, 1954–55, 1956–57, 1957–58, 1960–61, 1961–62, 1962–63, 1963–64

Copa del Generalísimo: 1961–62

European Cup: 1955–56, 1956–57, 1957–58, 1958–59, 1959–60

Latin Cup: 1955, 1957

Intercontinental Cup: 1960

Small Club World Cup (Non-official): 1953, 1956


Argentina


South American Championship: 1947


เกียรติประวัติส่วนตัว


Argentine Primera División top scorer: 1947

Campeonato Profesional top scorer: 1951, 1952

Pichichi Trophy: 1953–54, 1955–56, 1956–57, 1957–58 (joint), 1958–59

Ballon d'Or: 1957, 1959; runner-up: 1956

Super Ballon d'Or: 1989[68]

Small Club World Cup top scorer: 1956

European Cup top scorer: 1957–58

Spanish Player (Athlete) of the Year: 1957, 1959, 1960, 1964

FIFA Order of Merit: 1994[69]

World Soccer World XI: 1960, 1961, 1962, 1963, 1964[70]

World Team of the 20th Century: 1998

World Soccer The Greatest Players of the 20th century: 6th (1999)[71]

FIFA 100: 2004

UEFA Jubilee Awards – Golden Player of Spain: 2004

Golden Foot: 2004, as football legend[72]

UEFA President's Award: 2007[73]

Copa América Historical Dream Team: 2011

World Soccer Greatest XI of all time: 2013

IFFHS Top 10 Europe's Best Players of the 20th century: 3rd[74]

IFFHS Legends[75]

Ballon d'Or Dream Team (Silver): 2020[76]

11Leyendas Jornal AS: 2021[77]

IFFHS All-time Men's B Dream Team: 2021[78]

IFFHS South America Men's Team of All Time: 2021







วันพุธที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2568

ทิก กว๋าง ดึ๊ก Thích Quảng Đức พระที่เผาตัวเอง สร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่วโลก

 

ทิก กว๋าง ดึ๊ก Thích Quảng Đức 



ทิก กว๋าง ดึ๊ก Thích Quảng Đức พระที่เผาตัวเอง สร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่วโลก


ในช่วงการ เบียดเบียนผู้ถือพุทธในเวียดนาม ทำให้เกิดวิกฤตการณ์พุทธ (Buddhist crisis) 


ใน ค.ศ. 1963 ซึ่งรุนแรงจนทำลายความสัมพันธ์ที่มีกับสหรัฐและประเทศอื่น ๆ 


ทิก กว๋าง ดึ๊ก Thích Quảng Đức เป็นพระภิกษุชาวเวียดนามนิกายมหายานที่โด่งดังไปทั่วโลกจากการเผาตัวเอง


ในวันที่ 11 มิถุนายน 1963 ในไซง่อน เวียดนามใต้ พระภิกษุท่านนี้ประท้วง


การข่มเหงชาวพุทธโดยรัฐบาลของโง ดิ่ญ ดิ๋ง ดิ๋ง ผู้นำนิกายโรมันคาธอลิก


ที่รัฐบาลของเขาละเลยชาวพุทธส่วนใหญ่


ภาพถ่ายอันเป็นสัญลักษณ์ของการเผาตัวเองของท่าน 


ซึ่งถ่ายโดยนักข่าวชื่อมัลคอล์ม บราวน์ กลายเป็นภาพที่ทรงพลังที่สุดภาพหนึ่ง


ในประวัติศาสตร์ โดยดึงความสนใจจากทั่วโลกให้มุ่งไปที่วิกฤตในเวียดนาม 


การเสียสละของท่านทำให้รัฐบาลของดิ๋ง ดิ๋ง ดิ๋ง กดดันจากนานาชาติ 


จนนำไปสู่การรัฐประหารที่ได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐฯ 


ซึ่งส่งผลให้ดิ๋งถูกลอบสังหารในปีเดียวกัน


แม้หลังจากการเผาศพแล้ว หัวใจของพระภิกษุ Thích Quảng Đức ยังคงไม่บุบสลาย 


ซึ่งชาวพุทธถือว่าเป็นพระธาตุศักดิ์สิทธิ์ พระองค์ทรงได้รับการเคารพนับถือในฐานะพระโพธิสัตว์ 


ผู้ทรงเมตตากรุณาอย่างยิ่ง มรดกของพระองค์ยังคงเป็นสัญลักษณ์ของสันติภาพ 


การต่อต้าน และเสรีภาพทางศาสนา


ท่านจุดไฟเผาตัวเองด้วยน้ำมันเบนซินที่สี่แยกแห่งหนึ่งในไซง่อน เดวิด ฮาลเบอร์สตัม 


นักข่าวของนิวยอร์กไทมส์ได้บันทึกเหตุการณ์เผาตัวเองของท่านไว้


แรงจูงใจในการเผาตัวเองของ Thich Quang Duc คือการประท้วงการข่มเหงชาวพุทธ


โดยผู้นำรัฐบาลเวียดนามใต้ Ngo Dinh Diem ( โง ดินห์ เดียม ) ภาพการเผาตัวเองของเขาถูกเผยแพร่ไปทั่วโลก


ทำให้ Ngo Dinh Diem ( โง ดินห์ เดียม ) ประธานาธิบดีเวียดนามใต้ 


ต้องเผชิญกับแรงกดดันจากนานาชาติในการปฏิรูป ซึ่งในที่สุดทำให้เขาต้องประกาศ


การปฏิรูปนโยบายบางส่วนเพื่อบรรเทาความรู้สึกของชาวพุทธ 


อย่างไรก็ตาม การปฏิรูปที่เกิดขึ้นนั้นล่าช้าหรือไม่สมบูรณ์ และยังทำให้ความสัมพันธ์


ระหว่างรัฐบาลและประชาชนในระหว่างการอภิปรายแย่ลงไปอีก


ขณะเดียวกัน กองกำลังพิเศษของกองทัพที่จงรักภักดีต่อโงดิญห์นู (พี่ชายคนที่สี่ของโงดิญห์เดียม) 


ได้บุกโจมตีวัดหลายแห่งทั่วเวียดนามใต้ ทำให้วัดได้รับความเสียหายอย่างหนัก


และมีผู้บาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ยังขโมยพระบรมสารีริกธาตุของทิก กว๋าง ดึ๊ก


ทำให้พระสงฆ์จำนวนหนึ่งเดินตามรอยทิก กว๋าง ดึ๊ก และเผาตัวเองเพื่อประท้วง ในที่สุดพลเอกพิเศษ เซือง วัน มิญ 


ของกองทัพก็ก่อรัฐประหารและจับกุมโงดิญห์เดียมและสังหาร ดังนั้น 


เหตุการณ์เผาตัวเองครั้งนี้จึงนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองโดยอ้อม




วันอาทิตย์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

จางเหิง (Zhang Heng) นักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่คนแรกของจีน

 

จางเหิง (Zhang Heng) นักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่คนแรกของจีน 


จางเหิง 張衡 (78-139)


เป็นชาวเมืองซีเอ๋อ จังหวัดหนานหยาง (ปัจจุบันอยู่ทางใต้ของเขตหนานจ้าว เมืองหนานหยาง มณฑลเหอหนาน)


เป็นนักปราชญ์และนักวิทยาศาสตร์ชาวจีนในสมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันออก เขามีความสามารถหลากหลาย


ทั้งด้านดาราศาสตร์ คณิตศาสตร์ และภูมิศาสตร์. ผู้ทำหน้าที่ดูแลพระราชวัง และเสนาบดี


และรถม้าเข็มทิศที่สามารถตรวจจับทิศทางของแผ่นดินไหว ค้นพบสาเหตุของสุริยุปราคาและจันทรุปราคา


หนึ่งในผลงานที่โดดเด่นของเขาคือ เครื่องวัดแรงสั่นสะเทือน (ตี้ตงอี - Earth Motion Instrument) 


ซึ่งถือเป็นเครื่องมือวัดแผ่นดินไหวชิ้นแรกของโลก. นอกจากนี้ เขายังมีบทบาทสำคัญในการศึกษาดาราศาสตร์ 


โดยเขาได้สร้างแผนที่ท้องฟ้าและบันทึกดาวกว่า 2,500 ดวงใน 124 กลุ่มดาว


จางเหิงยังมีแนวคิดเกี่ยวกับโครงสร้างจักรวาล โดยเขาเปรียบเทียบว่า 


"ท้องฟ้าเหมือนไข่ไก่ โลกเหมือนไข่แดงที่อยู่ตรงกลาง" ซึ่งเป็นแนวคิดที่ล้ำหน้ามากในยุคนั้น.


เครื่องวัดแรงสั่นสะเทือน (Seismoscope) – เป็นหนึ่งในอุปกรณ์แรก ๆ ที่ใช้ตรวจจับแผ่นดินไหว 


ซึ่งถือเป็นนวัตกรรมที่ล้ำหน้ามากในยุคนั้น.


แผนที่ท้องฟ้าและการศึกษาดาราศาสตร์ – เขาได้สร้างแผนที่ท้องฟ้าและบันทึกตำแหน่ง


ดาวกว่า 2,500 ดวง ซึ่งช่วยพัฒนาความเข้าใจเกี่ยวกับจักรวาล.


แนวคิดเกี่ยวกับโครงสร้างจักรวาล – เขาเสนอแนวคิดว่า "ท้องฟ้าเหมือนไข่ไก่ โลกเหมือนไข่แดง


ที่อยู่ตรงกลาง" ซึ่งเป็นแนวคิดที่ล้ำหน้าสำหรับยุคนั้น.



จางเหิงเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่มีอิทธิพลต่อวงการดาราศาสตร์และเทคโนโลยีของจีนในยุคโบราณ


สร้างผลงานบทกวีและร้อยแก้ว เช่น “ฝู่สองเมืองหลวง” และ “ฝู่เมื่อกลับถึงบ้านชนบท” 


ซึ่งขยายรูปแบบและเนื้อหาของบทกวีและร้อยแก้วของราชวงศ์ฮั่น และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็น 


“หนึ่งในสี่กวีผู้ยิ่งใหญ่แห่งราชวงศ์ฮั่น” เขาสร้างสรรค์บทกวีโบราณเจ็ดตัวอักษรและมีส่วนสนับสนุน


วัฒนธรรมจีนอย่างมาก


จางเหิงถูกยกย่องให้เป็นหนึ่งใน “สี่นักเขียนผู้ยิ่งใหญ่แห่งราชวงศ์ฮั่น”


ได้รับการยกย่องว่าเป็นนักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์จีนในสมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันออก


ชาวเมืองหนานหยางได้สร้างวัดให้กับเขา 


นักวิชาการบางคนคาดเดาว่าหลักการของเครื่องวัดแผ่นดินไหวอาจได้รับการถ่ายทอดไปยังเปอร์เซีย


และญี่ปุ่นในสมัยโบราณ


ในปีพ.ศ. 2467 จางหยินหลินเป็นคนแรกที่ยกย่องจางเหิงว่าเป็น “นักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่คนแรก” ของจีน 


นักวิชาการชาวจีนสมัยใหม่ส่วนใหญ่ยังเรียกจางเหิงว่าเป็นนักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่อีกด้วย


นักวิชาการเชื่อว่าจางเหิงสามารถเทียบได้กับปโตเลมี


เพื่อเป็นการรำลึกถึงจางเหิง ชุมชนดาราศาสตร์นานาชาติจึงได้ตั้งชื่อหลุมอุกกาบาตบนด้านไกล


ของดวงจันทร์ตามชื่อเขาในปี พ.ศ. 2513


ในปีพ.ศ.2514 ดาวเคราะห์น้อย 1802 ได้รับการตั้งชื่อตามเขา 


สมาคมดาราศาสตร์จีนก่อตั้ง "รางวัลผู้มีส่วนสนับสนุนพิเศษจางเหิง" ซึ่งมอบครั้งแรกในปี พ.ศ. 2545


พ.ศ. 2546 ดาวเคราะห์น้อย 9092 ได้รับการตั้งชื่อตามบ้านเกิดของจางเหิงในเมืองหนานหยาง


แร่โลหะผสมทองแดง-สังกะสีตามธรรมชาติยังได้รับการตั้งชื่อตามจางเฮง ซึ่งก็คือเหมืองจางเฮง


ถนนที่ตั้งชื่อตามจางเหิง ซึ่งก็คือ “ถนนจางเหิง” ในเมืองเซินเจิ้น กวางตุ้ง และเขตผู่ตงใหม่ เซี่ยงไฮ้


จางเหิง ได้รับการยกย่องอย่างสูงในฐานะนักวิทยาศาสตร์และนักดาราศาสตร์ผู้บุกเบิกของจีน 


เขาเป็นบุคคลสำคัญที่มีอิทธิพลต่อวงการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในยุคราชวงศ์ฮั่นตะวันออก 


ผลงานของเขา เช่น เครื่องวัดแรงสั่นสะเทือน และ แผนที่ท้องฟ้า ได้รับการยอมรับว่าเป็นนวัตกรรมที่ล้ำหน้าสำหรับยุคนั้น


เขายังเป็นนักปรัชญาและนักคณิตศาสตร์ที่มีความสามารถหลากหลาย 


และได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในบุคคลสำคัญของจีนที่นำความรู้มาสู่มนุษยชาติ


ผลงานของเขายังคงมีอิทธิพลต่อการศึกษาด้านดาราศาสตร์และธรณีวิทยาจนถึงปัจจุบัน





วันเสาร์ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

ซิกมันด์ ฟรอยด์ (Sigmund Freud) บิดาแห่งจิตวิเคราะห์

 


ซิกมันด์ ฟรอยด์ (Sigmund Freud) บิดาแห่งจิตวิเคราะห์


ซิกมันด์ ฟรอยด์ (Sigmund Freud) เป็นนักจิตวิทยาและประสาทแพทย์ชาวออสเตรีย 


ผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็น บิดาแห่งจิตวิเคราะห์ 


ซิกมันด์ ฟรอยด์ เป็นหนึ่งในนักจิตวิทยาที่มีอิทธิพลมากที่สุดในประวัติศาสตร์ 


เขาได้รับการยกย่องว่าเป็น บิดาแห่งจิตวิเคราะห์ และแนวคิดของเขายังคงมีอิทธิพล


ต่อวงการจิตวิทยา ปรัชญา และวัฒนธรรมสมัยใหม่


เขาเกิดเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม ค.ศ. 1856 และเสียชีวิตเมื่อวันที่ 23 กันยายน ค.ศ. 1939


ผู้ก่อตั้งจิตวิเคราะห์ นักปรัชญา นักเพศศาสตร์ และหนึ่งในนักคิดที่มีอิทธิพลมากที่สุดในศตวรรษที่ 20


จิตวิเคราะห์เป็นแนวทางทางคลินิกในการประเมินและรักษาโรคที่เกิดจากความขัดแย้งทางจิตวิทยา 


ดำเนินการผ่านการสนทนาระหว่างผู้ป่วยและนักวิเคราะห์ 


และรวมถึงทฤษฎีเฉพาะเกี่ยวกับจิตใจและการกระทำของมนุษย์ที่ได้มาจากทฤษฎีดังกล่าว



มื่อฟรอยด์ก่อตั้งจิตวิเคราะห์ เขาได้พัฒนาวิธีการรักษา เช่น "การเชื่อมโยงอย่างอิสระ" 


ค้นพบแนวคิดการถ่ายโอน และวางบทบาทหลักของมันในกระบวนการวิเคราะห์ 


รวมเอารูปแบบทางเพศในวัยเด็กเข้ามาด้วยทำให้เขาได้กำหนดปมเอดิปัสให้เป็นหลักการสำคัญของทฤษฎีจิตวิเคราะห์


การตีความความฝัน ฟรอยด์ตั้งสมมติฐานเกี่ยวกับ "ความต้องการทางเพศ" (แรงกระตุ้นทางเพศ) 


ซึ่งเขาถือว่าเป็นพลังงานทางเพศที่มีอยู่ในกระบวนการและโครงสร้างทางจิตวิทยา 


และก่อให้เกิดความผูกพันทางกามารมณ์


ฟรอยด์ได้ตีความและวิพากษ์วิจารณ์ศาสนาและวัฒนธรรมอย่างกว้างขวาง


ผลงานต่างๆ ของเขา เช่น “การตีความความฝัน” “Three Essays on Sexuality” “Totems and Taboos”


เสนอแนวคิดต่างๆ เช่น จิตใต้สำนึก อิด อีโก้ และซุปเปอร์อีโก้ ปมอีดิปุส แรงกระตุ้นทางเพศ 


และกลไกการป้องกันทางจิตวิทยา


เขาได้รับการขนานนามว่าเป็น “บิดาแห่งจิตวิเคราะห์”


ผลงานและแนวคิดสำคัญ


ทฤษฎีจิตวิเคราะห์ – เป็นแนวคิดที่อธิบายว่าพฤติกรรมของมนุษย์ได้รับอิทธิพลจาก จิตไร้สำนึก


ทฤษฎีจิตวิเคราะห์ ของเขาถูกนำไปใช้ในด้านจิตบำบัดและการศึกษาพฤติกรรมมนุษย์


เขาเป็นผู้ริเริ่ม ทฤษฎีจิตวิเคราะห์ ซึ่งเปลี่ยนแปลงแนวคิดเกี่ยวกับจิตใจมนุษย์ไปอย่างสิ้นเชิง


โครงสร้างจิตใจ – แบ่งออกเป็น Id (อิด), Ego (อีโก้), Superego (ซูเปอร์อีโก้) ซึ่งมีบทบาทในการกำหนดพฤติกรรม


แนวคิดเกี่ยวกับ Id, Ego, Superego ถูกนำไปใช้ในหลายสาขาวิชา รวมถึงวรรณกรรมและศิลปะ


การวิเคราะห์ความฝัน – ฟรอยด์เชื่อว่าความฝันเป็นช่องทางที่จิตไร้สำนึกแสดงออกมา


กลไกป้องกันทางจิต – เช่น การกดเก็บ (Repression) และการถ่ายโยงความรู้สึก (Transference)


ผลงานของฟรอยด์มีอิทธิพลต่อความคิดชาวตะวันตกและวัฒนธรรมสมัยนิยมในปัจจุบัน


หนึ่งในอิทธิพลที่แข็งแกร่งที่สุดต่อความคิดในศตวรรษที่ 20 โดยผลกระทบนั้นเทียบได้กับลัทธิดาร์วินและลัทธิมาร์กซ์


โดยอิทธิพลของมันแผ่ขยายไปทั่ว "ทุกสาขาของวัฒนธรรม ... ถึงขนาดเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตและแนวคิดของเราเกี่ยวกับมนุษย์"


ฟรอยด์มีอิทธิพลอย่างมากต่อวงการจิตวิทยาและมนุษยศาสตร์ แม้ว่าทฤษฎีของเขาจะถูกวิพากษ์วิจารณ์ในบางแง่มุม 


ผลงานของเขาถูกศึกษาและถกเถียงกันอย่างกว้างขวาง แม้จะมีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับความถูกต้องของทฤษฎีบางส่วน


แต่แนวคิดของเขายังคงเป็นรากฐานสำคัญของจิตวิเคราะห์และจิตบำบัด ฟรอยด์ไม่เพียงแต่มีอิทธิพลต่อจิตวิทยา 


แต่ยังส่งผลต่อวัฒนธรรมและความเข้าใจเกี่ยวกับพฤติกรรมมนุษย์ในระดับสากล


วันศุกร์ที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2568

ติโต นักปฏิวัติชาวยูโกสลาเวีย Josip Broz Tito

 


ติโต นักปฏิวัติชาวยูโกสลาเวีย Josip Broz Tito


โยซิป บรอซ ติโต ชาว เซอร์เบีย-โครเอเชีย เกิด 7 พฤษภาคม 1892 เสียชีวิต 4 พฤษภาคม 1980


นักปฏิวัติและนักการเมืองชาวยูโกสลาเวีย 


เลขาธิการและประธานคณะกรรมการกลางของสันนิบาตคอมมิวนิสต์แห่งยูโกสลาเวีย


ประธานาธิบดีและนายกรัฐมนตรีของสาธารณรัฐสังคมนิยมแห่งยูโกสลาเวีย


จอมพลแห่งยูโกสลาเวีย และปกครองยูโกสลาเวียเป็นเวลา 36 ปี


ติโต นักปฏิวัติชาวยูโกสลาเวีย Josip Broz Tito



ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นเผด็จการแต่บางคนก็อธิบายเขาว่าเป็นเผด็จการที่ใจดี


ถูกมองว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งความสามัคคีระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ภายในสหพันธรัฐยูโกสลาเวีย


ผู้ก่อตั้งขบวนการไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดและทำงานร่วมกับนายกรัฐมนตรีอินเดีย เนห์รู 


และประธานาธิบดีนัสเซอร์แห่งอียิปต์ อุดมการณ์ทางการเมืองที่เขาเสนอเรียกว่า ทิโตอิสม์


ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เขาเป็นผู้นำกองโจรยูโกสลาเวีย 


เป็นขบวนการต่อต้านที่มีประสิทธิผลที่สุดในยุโรปที่ถูกเยอรมนียึดครอง


เขาทำหน้าที่เป็นนายกรัฐมนตรีตั้งแต่ปี 1945 ถึง 1963 และเป็นประธานาธิบดีตั้งแต่ปี 1953 จนกระทั่งเสียชีวิตในปี 1980


อุดมการณ์ทางการเมืองและนโยบายที่ติโตประกาศใช้เป็นที่รู้จักกันในชื่อลัทธิติโต


ภายใต้การนำของเขา ยูโกสลาเวียได้กลายเป็นรัฐคอมมิวนิสต์ ซึ่งในที่สุดก็เปลี่ยนชื่อเป็นสาธารณรัฐสังคมนิยมสหพันธ์ยูโกสลาเวีย


เป็นผู้นำเพียงคนเดียวในช่วงชีวิตของโจเซฟ สตาลินที่ท้าทายอำนาจสูงสุดของโซเวียตในกลุ่มตะวันออก


เขาริเริ่มรูปแบบเฉพาะตัวของการบริหารจัดการตนเองแบบสังคมนิยม แรงงานทุกคนมีสิทธิได้รับประชาธิปไตย


ในที่ทำงานและได้รับส่วนแบ่งกำไรเท่าเทียมกัน


เขาเป็นบุคคลสาธารณะที่ได้รับความนิยมทั้งในยูโกสลาเวียและต่างประเทศ


ได้รับความนิยมในอดีตประเทศของยูโกสลาเวียเป็นสัญลักษณ์แห่งความสามัคคี


ชื่อเสียงที่เป็นที่ยอมรับอย่างมากในต่างประเทศในกลุ่มสงครามเย็นทั้งสองกลุ่ม 


เขาได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ต่างประเทศรวม 98 เครื่องราชอิสริยาภรณ์


ติโต้ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้เปลี่ยนยูโกสลาเวียจากประเทศยากจนให้กลายมาเป็นประเทศที่มีรายได้ปานกลาง


มีการปรับปรุงครั้งใหญ่ในด้านสิทธิสตรี สุขภาพ การศึกษา การขยายตัวของเมือง การพัฒนาอุตสาหกรรม และด้านอื่นๆ


ในช่วงปี 1979 ติโต้เริ่มป่วยหนักขึ้นเรื่อยๆ และอีกครั้งในวันที่ 12 มกราคม 1980 ติโต้ถูกส่งตัวไปที่ศูนย์การแพทย์


เขาเสียชีวิตในที่สุดจากการติดเชื้อที่เกิดจากเนื้อตาย เนื่องจากหลอดเลือดแดงอุดตัน เนื่องจากมีปัญหาระบบไหลเวียนเลือดที่ขา


แต่เขาไม่ยอมที่จะตัดขา จนซาร์โกและมิโซ บรอซ ลูกชายของเขากล่อมจนยอมแต่ก็สายไปแล้ว


ติโตเสียชีวิตที่ศูนย์การแพทย์ลูบลิยานาเมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2523 ใกล้จะถึงวันเกิดอายุครบ 88 ปีของเขาเพียง 3 วัน


น่าสนใจ

✅ เนโร จักรพรรดิโรมัน คนบาปของประวัติศาสตร์ NERO

✅ โมโมฟูกุ อันโด บิดาแห่งบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป (Nissin)

✅ 50 บุคคลผู้เปลี่ยนแปลงโลก

✅ โทกุงาวะ อิเอยาสึ Tokugawa Ieyasu

✅ เซเปียนส์ ประวัติย่อมมนุษยชาติ : Sapiens A Brief History of Humankind
















วันอาทิตย์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2568

โมโมฟูกุ อันโด บิดาแห่งบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป (Nissin)

 


โมโมฟูกุ อันโด บิดาแห่งบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป (Nissin)


โมโมฟูกุ อันโด บิดาแห่งบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป


โมโมฟูกุ อันโด Momofuku Ando


5 มีนาคม 1910 - 5 มกราคม 2007 


เป็นผู้คิดค้นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปคนแรกของโลก เขาเป็นชาวไต้หวัน-ญี่ปุ่น 


เป็นผู้ก่อตั้งบริษัท นิสชิน ฟู้ดส์ (Nissin Foods) 


เขาได้พัฒนาบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปชนิดแรกในชื่อ "ชิกเก้น ราเมน" (Chicken Ramen) ในปี ค.ศ. 1958 


ในปี 1964 ได้ก่อตั้งสมาคมอุตสาหกรรมอาหารสำเร็จรูปขึ้นเพื่อหาแนวทางในการส่งเสริมอุตสาหกรรมบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป


ในปี ค.ศ. 1971 เขายังคิดค้น "คัพนูดเดิล" (Cup Noodles) ซึ่งเป็นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในถ้วยพร้อมทาน


แรงบันดาลใจของเขาเริ่มต้นจากความต้องการช่วยเหลือผู้คนที่ประสบปัญหาขาดแคลนอาหารหลังสงครามโลกครั้งที่ 2


บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปของเขาได้ปฏิวัติวงการอาหารด้วยวิธีการเตรียมที่สะดวกและง่าย


ปรัชญาของอันโดะที่ว่า “สันติภาพจะมาถึงโลกเมื่อผู้คนมีอาหารเพียงพอ” 


สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของเขาในการแก้ไขปัญหาความหิวโหย


ในปี 1997 ได้ก่อตั้งและดำรงตำแหน่งประธานของสมาคมผู้ผลิตราเม็งนานาชาติ (IRMA) International Ramen Manufacturers Association


ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็นสมาคมบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปโลก (WINA) World Instant Noodles Association


อันโดเสียชีวิตด้วยอาการหัวใจล้มเหลวเมื่อวันที่ 5 มกราคม 2007 ที่โรงพยาบาลในเมืองอิเคดะ จังหวัดโอซากะ ขณะมีอายุได้ 96 ปี


รูปปั้นสัมฤทธิ์ของอันโด ที่พิพิธภัณฑ์ราเม็งสำเร็จรูปโมโมฟูกุ อันโด ในอิเคดะ จังหวัดโอซากะ 


อันโดได้รับเกียรติด้วยเหรียญรางวัลหลายครั้งจากรัฐบาลญี่ปุ่นและจักรพรรดิ รวมถึงเครื่องราชอิสริยาภรณ์อาทิตย์อุทัย 


ดาวทองและดาวเงิน ชั้นสอง ในปี 2002 ซึ่งถือเป็นเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันทรงเกียรติอันดับสองสำหรับพลเรือนญี่ปุ่น


บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปปฏิวัติอุตสาหกรรมอาหารในหลายๆ ด้านที่สำคัญ


ความสะดวกและการเข้าถึง เพิ่มความสะดวกสบายรวดเร็วและราคาไม่แพง


อายุการเก็บรักษาที่ยาวนานโดยไม่ต้องแช่เย็นและสำหรับใช้ในกรณีฉุกเฉิน


การเข้าถึงทั่วโลก และกลายมาเป็นอาหารที่นิยมเกือบทุกมุมโลกจึงทำให้ประสบความสำเร็จไปทั่วโลก


ส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจในประเทศที่ผลิตและบริโภคบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป


น่าสนใจ

✅ เนโร จักรพรรดิโรมัน คนบาปของประวัติศาสตร์ NERO

✅ ผู้พันแซนเดอส์ ผู้ก่อตั้งร้านไก่ทอด (Colonel Sanders)

✅ 50 บุคคลผู้เปลี่ยนแปลงโลก

✅ โทกุงาวะ อิเอยาสึ Tokugawa Ieyasu

✅ เซเปียนส์ ประวัติย่อมมนุษยชาติ : Sapiens A Brief History of Humankind



วันอังคารที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568

คนที่สุงที่สุดในโลก โรเบิร์ต แวดโลว์ Wadlow

 


คนที่สุงที่สุดในโลก โรเบิร์ต แวดโลว์ Wadlow



โรเบิร์ต เพอร์ชิง แวดโลว์ Robert Pershing Wadlow


22 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1918 — 15 กรกฎาคม ค.ศ. 1940


มนุษย์ที่สูงที่สุดในโลก โดยเขาเป็นเจ้าของความสูงถึง 2.72 เมตร และยังเป็นมนุษย์ที่สูงที่สุดตลอดกาลด้วย


เกิดที่เมืองอัลตัน รัฐอิลลินอยส์ สหรัฐอเมริกา เขาเป็นบุคคลที่สูงที่สุดในสังคมมนุษย์ยุคใหม่จนถึงทุกวันนี้


ซึ่งรู้จักกันในชื่อ ยักษ์อัลตัน หรือ ยักษ์อิลลินอยส์ แวดโลว์มีความสูง 272 เซนติเมตร (8.92 ฟุต) และมีน้ำหนัก 


199 กิโลกรัม (439 ปอนด์) เมื่อเขาเสียชีวิตเมื่ออายุได้ 22 ปี ซึ่งเคยมีน้ำหนักมากถึง 222 กิโลกรัม


มีมือและเท้ายาวที่สุด ขนาดรองเท้าที่เขาใส่คือ 37AA (EUR74 หรือประมาณ 39 ซม.) เทียบกับขนาด US 12


การเติบโตอย่างต่อเนื่องของเขาในวัยผู้ใหญ่เป็นผลมาจากต่อมใต้สมองที่โตเกินขนาด 


ซึ่งส่งผลให้ระดับฮอร์โมนการเจริญเติบโตของมนุษย์ (HGH) สูงผิดปกติ


น้ำหนักแรกเกิดประมาณ 3.8 กิโลกรัม ไม่ต่างจากทารกทั่วไป เขาเริ่มเติบโตอย่างรวดเร็วเมื่ออายุได้ 2 ขวบ 


โดยเติบโตเฉลี่ยปีละ 10 เซนติเมตร พ่อของเขาสูง 182 เซนติเมตร และแวดโลว์สูงกว่าพ่อเมื่อเขาอายุได้ 8 ขวบ


เขาเสียชีวิตด้วยโรคติดเชื้อในกระแสเลือดเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 1940 


พิธีศพของเขา ดึงดูดผู้คนมากกว่า 40,000 คนให้มาแสดงความอาลัย โลงศพของเขาหนัก 500 กิโลกรัม 


และต้องใช้คนหามถึง 12 คน


น่าสนใจ

✅ เนโร จักรพรรดิโรมัน คนบาปของประวัติศาสตร์ NERO

✅ ผู้พันแซนเดอส์ ผู้ก่อตั้งร้านไก่ทอด (Colonel Sanders)

✅ 50 บุคคลผู้เปลี่ยนแปลงโลก

✅ โทกุงาวะ อิเอยาสึ Tokugawa Ieyasu

✅ เซเปียนส์ ประวัติย่อมมนุษยชาติ : Sapiens A Brief History of Humankind





วันพฤหัสบดีที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568

โผน กิ่งเพชร แชมป์โลกชาวไทยคนแรก (Pone Kingpetch)

 


โผน กิ่งเพชร แชมป์โลกชาวไทยคนแรก (Pone Kingpetch)


มานะ สีดอกบวบ มีชื่อเล่นว่า 'แกละ'


 แชมป์โลกมวยสากลคนแรกในประวัติศาสตร์ไทย  ชาวหัวหิน ประจวบคีรีขันธ์


เกิด 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2478  


เสียชีวิต 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2525 (47 ปี)


ส่วนสูง 169 cm (5 ft 6½ in)


พิกัดน้ำหนักในการชก ฟลายเวท (ถนัดขวา)




ชิงแชมป์โลกครั้งแรกกับ ปาสคาล เปเรซ แชมป์โลกรุ่นฟลายเวต ชาวเวเนซุเอลา  ชนะคะแนนอย่างไม่เป็นเอกฉันท์ 


เมื่อคืนวันเสาร์ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2503 ก้าวขึ้นเป็นแชมป์โลกคนแรกของไทย (ครองแชมป์โลกถึง 3 สมัย)


ในครั้งนั้น พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชและสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินไปทอดพระเนตรด้วย 


เขาต้องเผชิญหน้ากับการท้าชิงของนักกีฬาชาวญี่ปุ่น มาซาฮิโกะ ฮาราดะ เขาไม่ท้อถอยแม้จะแพ้ในไฟต์แรก 


แต่สามารถเอาชนะในไฟต์ถัดมาได้ ซึ่งกลายเป็นตำนาน 


ในการป้องกันแชมป์ครั้งที่สี่ เขาแพ้แชมป์ให้กับ Fighting Harada ของญี่ปุ่น น็อกในยกที่ 11 เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 1962


โผน กิ่งเพชรได้แชมป์โลกคืนมาอีกครั้งหลังจากเอาชนะคะแนน Harada ในแมตช์รีแมตช์เมื่อวันที่ 12 มกราคม 1963


ต่อมา Hiroyuki Ebihara น็อก โผน ในยกแรกและกลายเป็นแชมป์โลกรุ่นฟลายเวทคนใหม่ เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 1963


ในการชิงแชมป์โลกครั้งสุดท้าย เขาเอาชนะเอบิฮาระ (Hiroyuki Ebihara) ในการชกรีแมตช์เมื่อวันที่ 23 มกราคม 1964


ได้เป็นแชมป์โลกรุ่นฟลายเวท 3 สมัย หลังจากชนะที่ญี่ปุ่น เขาเดินทางไปอิตาลีเพื่อป้องกันแชมป์กับซัลวาโตเร บูร์รูนี 


และแพ้คะแนน 15 ยกให้กับนักชกชาวอิตาลีในการชิงแชมป์โลกครั้งสุดท้ายของเขา


 โผนจึงแขวนนวมในปี พ.ศ. 2509 (1966) เมื่ออายุได้ 31 ปี


โผน กิ่งเพชร มีโรคประจำตัวเรื้อรังคือ โรคเบาหวาน เสียชีวิตด้วยโรคปอดและโรคแทรกซ้อน 


ด้วยวัยเพียง 47 ปี เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ.2525


 พ.ศ. 2534 สมาคมกิจวัฒนธรรมได้เคลื่อนไหวเพื่อสร้างอนุสรณ์สถานอีกครั้ง และได้เสนอให้สร้างอนุสาวรีย์ของโผนที่หาดหัวหิน 


มีพิธีเปิดเมื่อ 16 เมษายน พ.ศ. 2535 รูปปั้น สูง 2 เมตร 20 เซนติเมตร อยู่ในท่ายืน มือขวาชูกำปั้น มือซ้ายถือเข็มขัดแชมป์โลก


น่าสนใจ

✅  บุคคลสำคัญของจีน China

✅ โอดะ โนบุนางะ มหาซามูไรแห่งญี่ปุ่น (Oda Nobunaga)

✅ 50 บุคคลผู้เปลี่ยนแปลงโลก

✅ โทกุงาวะ อิเอยาสึ Tokugawa Ieyasu

✅ เซเปียนส์ ประวัติย่อมมนุษยชาติ : Sapiens A Brief History of Humankind







วันเสาร์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2568

จักรพรรดิเหลียวไท่จู่ Abaoji (Emperor Taizu of Liao)


จักรพรรดิเหลียวไท่จู่ Abaoji  (Emperor Taizu of Liao)


สมเด็จพระจักรพรรดิเหลียวไท่จู่ (ค.ศ. 872 - 926)  



ปฐมจักรพรรดิแห่งราชวงศ์เหลียว ทรงพระนามเดิมว่า เย่ว์ลู่ อาเปาจี ประสูติในเผ่าชี่ตัน 


เมื่อ ค.ศ. 872 (พ.ศ. 1415) ไท่จูชื่นชมจักรพรรดิเกาจู่แห่งราชวงศ์ฮั่น (หลิวปัง) ดังนั้นตระกูลเย่ลู่


จึงถูกเรียกว่าตระกูลหลิวด้วยบรรพบุรุษของAbaoji เป็นหัวหน้าเผ่าและผู้นำทางทหารของเผ่า

 

Khitan Dielaและต่อมาได้รับเลือกเป็นหัวหน้าเผ่าเป็นเวลาเก้าปี เขาได้ยึดครองพื้นที่ใกล้คีตัน


ด้วยกำลังเปลี่ยนระบบการเลือกตั้งสามปีนี้ให้เป็นระบบสืบทอดเพื่อรวบรวมอำนาจของตน


สถาปนาตนเองเป็นพระเจ้าแห่งสวรรค์ ข่านแห่งชี่ตัน ทั้งหมด


เขาปรับปรุงความสัมพันธ์ระหว่างผู้ปกครองและราษฎรของเขารวมถึงกำหนดสถานะของพวกเขา 


การยกเลิกระบบการเลือกตั้งข่านซึ่งจัดขึ้นทุกๆ สามปี ส่งผลให้เกิดการกบฏในหมู่พี่น้องของเขา 


ซึ่งต่อมาก็ถูกปราบปรามลงโจมตีกลุ่มชาติพันธุ์หรือระบอบการปกครองโดยรอบ ไท่จูแห่งเหลียว


พิชิตดินแดนตะวันออกและตะวันตก วางกฎเกณฑ์และข้อบังคับ และวางรากฐาน พิชิตราชวงศ์จิ้น 


และเปลี่ยนชื่อประเทศเป็น "ต้าเหลียว" ในปีแรกของรัชสมัยต้าถง


พระองค์ทรงเป็นผู้พิชิตและรวมมองโกเลียใน จีนตอนเหนือ และแมนจูเรียตอนใต้


นำนวัตกรรมใหม่ๆ มาสู่สังคมชี่ตัน  ชนเผ่าเร่ร่อนในทุ่งหญ้า


นำรูปแบบราชสำนักของฮั่นมาใช้ โดยประกาศตนเป็นจักรพรรดิสวรรค์ในแบบของฮั่น


และใช้ชื่อยุคสมัยตามแบบของฮั่นเช่นกันสร้างเมืองกำแพงใหม่ สร้างร้านค้าของช่างฝีมือ 


ร้านค้าเชิงพาณิชย์ และโกดังสินค้า เป็นฐานในการบริหารของคิตันสั่งให้พัฒนาอักษรคิตันขนานใหญ่


เสียชีวิตด้วยไข้รากสาดใหญ่เมื่ออายุได้ 54 ปี พระองค์สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 6 กันยายน ค.ศ. 926 


ได้รับการยกย่องให้เป็นจักรพรรดิเหลียวหลังสิ้นพระชนม์


น่าสนใจ

✅  บุคคลสำคัญของจีน China

✅ โอดะ โนบุนางะ มหาซามูไรแห่งญี่ปุ่น (Oda Nobunaga)

✅ 50 บุคคลผู้เปลี่ยนแปลงโลก

✅ โทกุงาวะ อิเอยาสึ Tokugawa Ieyasu

✅ เซเปียนส์ ประวัติย่อมมนุษยชาติ : Sapiens A Brief History of Humankind