สมเด็จพระจักรพรรดินีแคเธอรีนที่ 2 (Catherine the Great)
สมเด็จพระจักรพรรดินีแคเธอรีนที่ 2 หรือที่รู้จักกันทั่วไปว่า แคเธอรีนมหาราช (Catherine the Great)
เป็นหนึ่งในพระมหากษัตริย์หญิงที่ทรงอิทธิพลและมีชื่อเสียงที่สุดในประวัติศาสตร์ยุโรป โดยเฉพาะในรัสเซีย
คุณพ่อ-คริสเตียน ออกัสต์ เจ้าชายแห่งอันฮัลต์-เซิร์บสต์ ( Christian August, Prince of Anhalt-Zerbst )
คุณแม่-โจอันนา เอลิซาเบธแห่งโฮลชไตน์-ก็อททอร์ป ( Joanna Elisabeth of Holstein-Gottorp )
พระนามเต็ม: เยกาเทรีนา อาเล็กเซเยฟนา (Yekaterina Alekseyevna)
พระราชสมภพ: 2 พฤษภาคม ค.ศ. 1729 ณ เมืองชเต็ตติน (ปัจจุบันคือ Szczecin ประเทศโปแลนด์)
พระราชสวรรคต: 17 พฤศจิกายน ค.ศ. 1796
พระสวามี: สมเด็จพระจักรพรรดิปีเตอร์ที่ 3 แห่งรัสเซีย
ขึ้นครองราชย์: ค.ศ. 1762 – 1796
แคเธอรีนมิได้เป็นชาวรัสเซียโดยกำเนิด แต่เป็นเจ้าหญิงเยอรมัน
หลังจากสมรสกับปีเตอร์ที่ 3 เธอได้มีบทบาททางการเมืองมากขึ้น
ปีเตอร์ที่ 3 ถูกโค่นล้มจากราชบัลลังก์โดยรัฐประหาร ซึ่งแคเธอรีนมีส่วนร่วมอย่างสำคัญ
เธอจึงขึ้นครองราชย์แทน และกลายเป็นจักรพรรดินีแห่งรัสเซีย
หลังจากทรงโค่นล้มพระสวามี พระเจ้าปีเตอร์ที่ 3 ด้วยการรัฐประหาร
พระองค์ได้ขึ้นครองราชย์เป็นจักรพรรดินีรัสเซีย และทรงเป็นพระมหากษัตริย์
ที่ครองราชย์ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์จักรวรรดิรัสเซีย โดยครองราชย์นานถึง 34 ปี
ผลงานและการปฏิรูป
ส่งเสริม การศึกษา, ศิลปะ, และ ปรัชญาแห่งยุคแสงสว่าง (Enlightenment)
ขยายอาณาเขตของรัสเซียอย่างมาก โดยเฉพาะทางตอนใต้และตะวันตก
ปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดินและกฎหมาย
สนับสนุนการตั้งหอสมุดและพิพิธภัณฑ์ เช่น Hermitage Museum ในเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก
เป็นผู้หญิงที่มีสติปัญญาเฉียบแหลมและมีความทะเยอทะยาน
มีความสัมพันธ์กับนักปรัชญาชื่อดัง เช่น วอลแตร์ (Voltaire) และดีเดอโรต์ (Diderot)
แม้จะมีข่าวลือและเรื่องเล่ามากมายเกี่ยวกับชีวิตส่วนตัวของเธอ
แต่เธอก็ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในผู้นำที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของรัสเซีย
พระองค์ทรงเป็นผู้นำที่มีวิสัยทัศน์และมีบทบาทสำคัญในการปฏิรูปรัสเซีย
ให้ทันสมัยขึ้นในหลายด้าน โดยเฉพาะในยุคแห่งแสงสว่าง (Age of Enlightenment)
ซึ่งแนวคิดจากยุโรปตะวันตกมีอิทธิพลต่อพระองค์อย่างมาก
ส่งเสริมการศึกษาโดยก่อตั้งโรงเรียนและมหาวิทยาลัย
สนับสนุนการแปลหนังสือจากภาษาต่างประเทศเป็นภาษารัสเซีย
พยายามร่างกฎหมายใหม่ที่มีพื้นฐานจากหลักเหตุผลและความยุติธรรม
จัดประชุม "Legislative Commission" ในปี 1767 เพื่อรวบรวมความคิดเห็นจากชนชั้นต่าง ๆ
แม้จะไม่สามารถออกกฎหมายใหม่ได้ทั้งหมด แต่ก็เป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิรูปกฎหมายในรัสเซีย
ปรับปรุงระบบการบริหารราชการ โดยแบ่งเขตการปกครองใหม่ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
เพิ่มอำนาจให้ขุนนางในการปกครองท้องถิ่น เพื่อแลกกับความจงรักภักดี
สนับสนุนการพัฒนาเกษตรกรรมและอุตสาหกรรม
ส่งเสริมการตั้งนิคมใหม่ในดินแดนที่เพิ่งยึดมา เช่น ยูเครนและแคว้นโวลก้า
ขยายอาณาเขตของรัสเซียอย่างมาก โดยเฉพาะในแถบทะเลดำและโปแลนด์
ทำให้รัสเซียกลายเป็นมหาอำนาจในยุโรป
แม้แคเธอรีนจะมีแนวคิดก้าวหน้า แต่พระองค์ก็ยังคงรักษาระบบชนชั้นและทาสไว้
ซึ่งเป็นข้อขัดแย้งกับแนวคิดเสรีนิยมที่พระองค์สนับสนุนในบางด้าน
การขยายอาณาเขตมีความสำคัญต่อรัสเซียในหลายมิติ ทั้งด้านภูมิรัฐศาสตร์
เศรษฐกิจ ความมั่นคง และอัตลักษณ์ทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม
เพิ่มอิทธิพลในภูมิภาค: การขยายอาณาเขตช่วยให้รัสเซียมีอำนาจควบคุมพื้นที่ยุทธศาสตร์
เช่น คาบสมุทรไครเมียที่มีฐานทัพเรือสำคัญในทะเลดำ
ควบคุมทรัพยากรธรรมชาติ: พื้นที่ใหม่อาจมีแหล่งพลังงาน เช่น น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ
หรือแร่ธาตุ ซึ่งเป็นหัวใจของเศรษฐกิจรัสเซีย
เส้นทางการค้าและโลจิสติกส์: การควบคุมพื้นที่ชายฝั่งหรือเส้นทางคมนาคมสำคัญ
ช่วยให้รัสเซียมีอำนาจต่อรองทางเศรษฐกิจมากขึ้น
ภายใต้การปกครองของพระองค์ รัสเซียได้ฟื้นฟูประเทศ บรรลุจุดสูงสุดทางประวัติศาสตร์
และกลายเป็นมหาอำนาจยุโรป
รัชสมัยของพระนางแคทเธอรีนเป็นที่รู้จักกันในชื่อ "ยุคแคทเธอรีน"
พระนางแคทเธอรีนทรงส่งเสริมการก่อสร้างอาคารของชนชั้นสูงแบบคลาสสิกหลายแห่ง
ซึ่งได้เปลี่ยนโฉมหน้าของรัสเซีย พระนางทรงสนับสนุนแนวคิดของยุคเรืองปัญญา * Age of Enlightenment
อย่างกระตือรือร้น จนได้รับสมญานามว่าทรราชผู้รู้แจ้ง
พระนางแคทเธอรีนยังทรงสนับสนุนศิลปะและส่งเสริมการพัฒนาของยุคเรืองปัญญา
ของรัสเซียอีกด้วย Smolny Palace ที่ก่อตั้งขึ้นในช่วงเวลานี้ถือเป็นสถาบันอุดมศึกษา
สำหรับสตรีที่ได้รับทุนจากรัฐแห่งแรกในยุโรป
สถาบัน Smolny มีบทบาทสำคัญในประวัติศาสตร์รัสเซียโดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ในฐานะศูนย์กลางการศึกษาของสตรี และเป็นสำนักงานใหญ่ของพวกบอลเชวิก
ในช่วงต้นของ การ ปฏิวัติ เดือนตุลาคม
รัชสมัยของพระนางแคทเธอรีนเต็มไปด้วยความสำเร็จส่วนพระองค์มากมาย
ในวันที่ 16 พฤศจิกายน ตามปฎิทินเก่า: 5 พฤศจิกายน ค.ศ. 1796
หลังเวลา 9.00 น. ไม่นานนัก เธอก็ถูกพบนอนอยู่บนพื้น ใบหน้าเป็นสีม่วง
ชีพจรเต้นอ่อน หายใจตื้น และหายใจลำบาก
แพทย์ประจำราชสำนักวินิจฉัยว่าเป็นโรคหลอดเลือดสมอง
และแม้จะมีความพยายามช่วยชีวิตเธอ แต่เธอก็ตกอยู่ในอาการโคม่า
แม้ว่าจะพยายามประคองพระอาการไว้แค่ไหนก็ตาม
เสด็จสวรรคตในเวลาประมาณ 21:45 นาฬิกาของวันนั้น
การชันสูตรพลิกศพยืนยันว่าโรคหลอดเลือดสมองเป็นสาเหตุของการเสียชีวิต
มีข่าวลือแพร่สะพัดเกี่ยวกับสาเหตุและลักษณะการตายของเธอ
ข่าวลือที่โด่งดังที่สุดคือข่าวลือว่าเธอเสียชีวิตหลังจากร่วมประเวณีกับม้า
ข่าวลือนี้ถูกเผยแพร่อย่างกว้างขวางในสื่อสิ่งพิมพ์เสียดสีทั้งของอังกฤษ
และฝรั่งเศสในช่วงเวลาที่เธอเสียชีวิต
ซึ่งเรื่องนี้ถูกกล่าวซ้ำในวรรณกรรมต่อต้านรัสเซียตลอดศตวรรษที่ 17 และ 18
จักรพรรดิปัฟเวลที่ 1 เปโตรวิช Paul I of Russia ( Pavel I Petrovich )
ขึ้นสืบราชสมบัติต่อจากพระราชมาดา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น