หน้าเว็บ

แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ประธานาธิบดี แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ประธานาธิบดี แสดงบทความทั้งหมด

วันเสาร์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2568

ลินดอน บี. จอห์นสัน Lyndon Baines Johnson หรือ LBJ

 


ลินดอน บี. จอห์นสัน  Lyndon Baines Johnson หรือ LBJ


ลินดอน เบนส์ จอห์นสัน (Lyndon B. Johnson หรือ LBJ) 


และรองประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาคนที่ 37 ในสมัยจอห์น เอฟ. เคนเนดี


เป็นเดโมแครตจากรัฐเท็กซัส เคยดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร


ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1937 ถึง 1949 และวุฒิสภาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1949 ถึง 1961


เป็นประธานาธิบดีคนที่ 36 ของสหรัฐอเมริกา ดำรงตำแหน่งระหว่างปี ค.ศ. 1963 ถึง 1969


เกิด: 27 สิงหาคม ค.ศ. 1908 ที่รัฐเท็กซัส


เสียชีวิต: 22 มกราคม ค.ศ. 1973 ด้วยอาการหัวใจวาย


พรรคการเมือง: พรรคเดโมแครต


คู่สมรส: เลดีเบิร์ด จอห์นสัน


เส้นทางการเมือง


สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ (1937–1949)


วุฒิสมาชิกจากรัฐเท็กซัส (1949–1961)


ผู้นำเสียงข้างมากในวุฒิสภา (1955–1961)


รองประธานาธิบดีคนที่ 37 (1961–1963) ภายใต้ประธานาธิบดีจอห์น เอฟ. เคนเนดี


ประธานาธิบดีคนที่ 36 (1963–1969) หลังการลอบสังหารเคนเนดี


ผลงานสำคัญ


กฎหมายสิทธิพลเมือง (Civil Rights Act) ปี 1964: ยุติการแบ่งแยกเชื้อชาติในสถานที่สาธารณะ


โครงการ Great Society: มุ่งเน้นการลดความยากจนและส่งเสริมการศึกษา


Medicare และ Medicaid: ระบบประกันสุขภาพสำหรับผู้สูงอายุและผู้มีรายได้น้อย


สงครามเวียดนาม: ขยายบทบาทของสหรัฐในสงครามอย่างมาก ซึ่งส่งผลให้คะแนนนิยมลดลง


จอห์นสันลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาในปี ค.ศ. 1960 แต่ไม่ประสบความสำเร็จ 


แต่ต่อมาได้รับเลือกจากจอห์น เอฟ. เคนเนดี ผู้สมัครจากพรรคเดโมแครตและวุฒิสมาชิกรัฐแมสซาชูเซตส์


ให้เป็นคู่หู ทั้งสองเอาชนะริชาร์ด นิกสัน ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจากพรรครีพับลิกัน


อย่างหวุดหวิดในการเลือกตั้งทั่วไป และจอห์นสันได้เข้ารับตำแหน่งรองประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา


เมื่อวันที่ 20 มกราคม ค.ศ. 1961 ในวันที่ 22 พฤศจิกายน ค.ศ. 1963


เคนเนดีถูกลอบสังหาร จอห์นสันสืบทอดตำแหน่งประธานาธิบดีต่อจากเขา และได้รับการเลือกตั้ง


อีกครั้งในการเลือกตั้งประธานาธิบดีปี ค.ศ. 1964 โดยเอาชนะแบร์รี โกลด์วอเตอร์ 


ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจากพรรครีพับลิกันและวุฒิสมาชิกรัฐแอริโซนา


จอห์นสันเสนอกฎหมาย ส่งเสริมสิทธิพลเมือง การกระจายเสียงสาธารณะ 


การดูแลสุขภาพของรัฐบาลกลาง เมดิเคด วามช่วยเหลือด้านการศึกษา ศิลปะ การพัฒนาเมือง


และชนบท บริการสาธารณะ และ "สงครามต่อต้านความยากจน"


เศรษฐกิจได้ยกระดับชาวอเมริกันหลายล้านคนให้หลุดพ้นจากความยากจน


ได้ปฏิรูประบบตรวจคนเข้าเมืองของสหรัฐอเมริกา โดยยกเลิกระบบโควต้าผู้อพยพ


ตามเชื้อชาติ และนำระบบที่อิงตามชาติกำเนิดมาใช้


มีส่วนร่วมของสหรัฐอเมริกาในสงครามเวียดนามค่อยๆ เพิ่มสูงขึ้น รัฐสภาสหรัฐฯ


ได้ผ่านมติอ่าวตังเกี๋ย ซึ่งให้อำนาจจอห์นสันในการใช้กำลังในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้


โดยไม่ต้องประกาศสงคราม


ความไม่พอใจต่อสงครามนำไปสู่การเคลื่อนไหวต่อต้านสงครามขนาดใหญ่


ทั้งในมหาวิทยาลัยและต่างประเทศของอเมริกาและกลุ่มต่อต้านสงคราม


ได้วิพากษ์วิจารณ์จอห์นสันซึ่งส่งผลให้คะแนนนิยมลดลง จอห์นสันพ่ายแพ้อย่างย่อยยับในการเลือกตั้งขั้นต้น


ของพรรคเดโมแครตในปี 1968 ที่รัฐนิวแฮมป์เชียร์ ทำให้เขาต้องถอนตัวจากการเลือกตั้งใหม่ 


ต่อมาริชาร์ด นิกสัน ผู้สมัครจากพรรครีพับลิกัน ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดี


จอห์นสันพ้นจากตำแหน่งในเดือนมกราคม 1969 และกลับไปใช้ชีวิตที่ฟาร์มปศุสัตว์ในรัฐเท็กซัส


ตลอดชีวิตที่เหลือ เขาเสียชีวิตด้วยอาการหัวใจวายเมื่อวันที่ 22 มกราคม 1973 ขณะมีอายุได้ 64 ปี


วันจันทร์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2567

ซูฮาร์โต Suharto นายพลผู้ยิ้มแย้ม ( The Smiling General )

 


ซูฮาร์โต Suharto นายพลผู้ยิ้มแย้ม ( The Smiling General )


ซูฮาร์โต เกิด 8 มิถุนายน พ.ศ. 2464 


ประธานาธิบดีคนที่สองของอินโดนีเซียและเผด็จการทหาร ปกครองประเทศกว่า 31ปี 

ดำรงตำแหน่ง 12 มีนาคม พ.ศ. 2510 – 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2541


ซูฮาร์โต Suharto



เมื่อวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2508 เกิดรัฐประหารที่ล้มเหลวในประเทศอินโดนีเซีย - เหตุการณ์ 930 

ทหารฝ่ายซ้ายกลุ่มหนึ่งถูกกล่าวหาว่าพยายามยึดอำนาจร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์ หลังจากการรัฐประหาร

ถูกปราบปรามโดยประธานาธิบดีซูการ์โนในขณะนั้น ซูฮาร์โตเป็นผู้นำกองบัญชาการยุทธศาสตร์กองทัพบก

และใช้โอกาสนี้ในการผูกขาดอำนาจซูฮาร์โตตอบโต้ว่าการรัฐประหารเกิดขึ้นโดยพวกพ้องของซูการ์โน

และได้โค่นล้มซูการ์โน่ที่สนับสนุนคอมมิวนิสต์และสนับสนุนโซเวียตลงไป เขายังก่อกระแสต่อต้านจีน

ครั้งใหญ่ทั่วประเทศและยึดอำนาจของซูการ์โน 


ในฐานะประธานาธิบดี ซูฮาร์โตยุติการเผชิญหน้าระหว่างอินโดนีเซีย-มาเลเซีย และกระชับความสัมพันธ์

ระหว่างทั้งสองประเทศให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นโดยการเยือนมาเลเซีย

อำนาจของซูฮาร์โตถึงจุดสูงสุด ในช่วงทศวรรษ 1990 ความเป็นเผด็จการและการทุจริตของรัฐบาลซูฮาร์โต

สร้างความไม่พอใจให้กับประชาชน จนเกิดการจลาจลในเดือนพฤษภาคม 2540 ที่เกิดจากวิกฤตการณ์

ทางการเงินในปี 2540นำไปสู่การลาออกของซูฮาร์โตในเดือนพฤษภาคม 2541 หลังจากการขับไล่ซูฮาร์โต

 เขาถูกดำเนินคดีในข้อหาคอร์รัปชั่นและการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวจีนในระหว่างดำรงตำแหน่ง

ต่อมา เนื่องจากสภาพร่างกายที่ย่ำแย่ของซูฮาร์โตและความคิดเห็นของสาธารณชนที่เพิ่มมากขึ้น

ในอินโดนีเซีย การดำเนินคดีจึงถูกยกเลิกในที่สุด เขาถึงแก่กรรมในปี พ.ศ. 2551


ผลกระทบของการปกครอง 31 ปีของซูฮาร์โตทำให้เกิดความขัดแย้งอย่างมาก ที่นำโดยทหาร

ซูฮาร์โตยังบังคับยึดติมอร์ตะวันออก ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 100,000 คน



ภายใต้ยุคของเขาที่เรียกกันว่า "ยุคระเบียบใหม่" ซูฮาร์โตได้สร้างรัฐบาลที่เข้มแข็ง ซูฮาร์โตได้

สถาปนารัฐบาลแบบรวมศูนย์ ที่นำโดยทหาร และมีอำนาจต่อต้านคอมมิวนิสต์จนได้รับการ

สนับสนุนทางการทูตและเศรษฐกิจจากตะวันตกในช่วงสงครามเย็น


ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่สองและดำรงตำแหน่งยาวนานที่สุดของอินโดนีเซีย

การปกครองแบบเผด็จการ 31 ปีของเขาถือเป็นหนึ่งในการปกครองที่โหดเหี้ยมและทุจริตที่สุดแห่ง

ศตวรรษที่ 20


อินโดนีเซียมีประสบการณ์ด้านอุตสาหกรรม การเติบโตทางเศรษฐกิจในช่วงแรก จนเขาได้รับสมญานาม

ว่า "บิดาแห่งการพัฒนา"


แต่ท้ายที่สุดซูฮาร์โตเป็นหนึ่งในผู้นำที่คอร์รัปชั่นมากที่สุดในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ และสร้างความ

แตกแยกในหมู่ประชาชน


ในด้านการพัฒนาประเทศเขาได้รับการยกย่อง แต่ในด้านการปกครองแบบเผด็จการและทุจริตนั้น 

เขาก็โดนไม่ใช่น้อยเช่นกัน


หลังจากลาออกจากตำแหน่งประธานาธิบดี ซูฮาร์โตต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลหลายครั้ง

ด้วยปัญหาโรคหลายอย่างเช่น หลอดเลือดสมอง หัวใจ และลำไส้ เนื่องด้วยปัญหาสุขภาพทำให้

ไม่สามารถดำเนินคดีลงโทษได้


เมื่อวันที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2551 ซูฮาร์โตถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลเปอร์ตามินาเซ็นทรัล จาการ์ตา 

ด้วยอาการแทรกซ้อนที่เกิดจากสุขภาพไม่ดี รักษาตัวอยู่หลายวันจนวันที่ 27 มกราคม เวลา 13:09 น. 

เขาก็ได้จากไปโดย ครอบครัวของเขายินยอมให้ถอดเครื่องช่วยชีวิตออก

เนื่องจากอาการของเขาไม่ดีขึ้น เนื่องจากมีการติดเชื้อในกระแสเลือดแพร่กระจายไปทั่วร่างกาย






วันเสาร์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2567

โกรเวอร์ คลีฟแลนด์ Grover Cleveland เดโมแครตในดงรีพบลิกัน

 



โกรเวอร์ คลีฟแลนด์ Grover Cleveland เดโมแครตในดงรีพบลิกัน


สตีเฟน โกรเวอร์ คลีฟแลนด์ (Stephen Grover Cleveland)  18 มีนาคม 1837 - 24 มิถุนายน 1908


โกรเวอร์ คลีฟแลนด์ Grover Cleveland


เป็นตัวแทนพรรคเดโมแครตเพียงคนเดียวที่ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีในยุคที่อีกฝั่ง

อย่างรีพับลิกันครองการเมืองในช่วงนั้นเพราะเมื่อพรรครีพับลิกันมีความได้เปรียบทางการเมือง

โดยสิ้นเชิง การครอบครองการเมืองอย่างยาวนานระหว่างปี 1860 ถึง 1912 ทำให้รีพับลิกันนั้น

นำหน้าเดโมแครตอยู่ในยุคนั้นมาก


เป็นนักการเมืองชาวอเมริกันที่ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่ 22 และ 24 ของสหรัฐอเมริกา 

ะหว่าง 1885- 1889  และ 1893 - 1897


เขาเป็นประธานาธิบดีคนเดียวในประวัติศาสตร์สหรัฐอเมริกาที่ดำรงตำแหน่งในวาระการดำรง

ตำแหน่งประธานาธิบดีที่ไม่ติดต่อกัน


ช่วงหลายปีก่อนที่เขาจะดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี เขาดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีและ

ผู้ว่าการรัฐนิวยอร์กได้รับชื่อเสียงในฐานะผู้ทำสงครามต่อต้านการทุจริต 


คลีฟแลนด์เป็นคนของพรรคเดโมแครตคนแรกที่ได้รับตำแหน่งประธานาธิบดีหลังสงครามกลางเมือง

เป็นหนึ่งในสองประธานาธิบดีพรรคเดโมแครต อีกคนคือ วูดโรว์ วิลสันในปี 1912 ในยุคที่พรรครีพับลิกัน

ครองตำแหน่งประธานาธิบดีระหว่าง 1869 - 1933


คลีฟแลนด์ได้รับเลือกเป็นนายกเทศมนตรีเมืองบัฟฟาโลในปี  1881


ผู้ว่าการรัฐนิวยอร์กในปี 1882


เขาเป็นผู้นำพรรคบูร์บง เดโมแครต(ourbon Democrat) ซึ่งเป็นขบวนการสนับสนุนธุรกิจที่ต่อต้านการ

เก็บภาษีศุลกากรสูง เงินฟรี ภาวะเงินเฟ้อ จักรวรรดินิยม และเงินอุดหนุนสำหรับธุรกิจ เกษตรกร 

หรือทหารผ่านศึก


การปฏิรูปการเมืองและอนุรักษ์นิยมทางการคลังทำให้เขากลายเป็นสัญลักษณ์สำหรับพรรค

อนุรักษ์นิยมของอเมริกาในยุคนั้น


คลีฟแลนด์ยังได้รับการยกย่องในเรื่องความซื่อสัตย์ การพึ่งพาตนเอง และความมุ่งมั่นต่อหลักการ

ของลัทธิเสรีนิยมคลาสสิกการต่อสู้กับการคอร์รัปชันทางการเมือง การอุปถัมภ์ 


ทำให้กลุ่ม The Mugwumps นักเคลื่อนไหวทางการเมืองของพรรครีพับลิกันในสหรัฐอเมริกา

ซึ่งต่อต้านการทุจริตทางการเมืองอย่างเข้มข้น เปลี่ยนพรรคจากพรรครีพับลิกันโดยสนับสนุน

ผู้สมัครจากพรรคเดโมแครต โกรเวอร์ คลีฟแลนด์ ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 1884 

ซึ่งในที่สุดเขาก็ได้รับชัยชนะ


เขาดำรงตำแหน่งรอบแรก คลีฟแลนด์ได้ปฏิรูปส่วนอื่น ๆ ของรัฐบาล ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง 

ไม่ว่าจะมาจากพรรคไหนคนของใคร ถ้ามีความสามารถก็สรามารถทำงานได้ ทำให้พรรคพวก

จากเดโมแครตเองก็ไม่พอใจอยู่ไม่น้อย 

เขาได้สั่งให้ปรับปรุงกองทัพเรือให้ทันสมัยและยกเลิกสัญญาก่อสร้างซึ่งส่งผลให้มีเรือด้อยคุณภาพ

สั่งให้สอบสวนที่ดินทางตะวันตกที่นักลงทุนทางรถไฟถือครองโดยเงินอุดหนุนจากรัฐบาล โดนการ

ริบที่ดินคือจากกลุ่มทุน


ในสมัยแรกในฐานะประธานาธิบดี คลีฟแลนด์พยายามลดการใช้จ่ายภาครัฐและลดภาษีศุลกากร


การเลือกตั้ง 1888 พ่ายแพ้ต่อแฮร์ริสัน พรรครีพับลิกันเสนอชื่อเบนจามิน แฮร์ริสัน อดีตวุฒิสมาชิก

สหรัฐอเมริกาจากรัฐอินเดียนาเป็นประธานาธิบดี และลีวาย พี. มอร์ตันจากนิวยอร์กเป็นรอง


คลีฟแลนด์ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงในการประชุมประชาธิปไตยในเมืองเซนต์หลุยส์ 

พรรคเดโมแครตได้เลือกอัลเลน จี. เธอร์แมนแห่งโอไฮโอ เป็นผู้สมัครชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดี

คนใหม่ของคลีฟแลนด์ 


พรรครีพับลิกันมีความได้เปรียบในการรณรงค์หาเสียง พรรครีพับลิกันรณรงค์อย่างหนักในประเด็นภาษี


พรรคเดโมแครตในนิวยอร์กยังแตกแยกกันเรื่องผู้สมัครชิงตำแหน่งผู้ว่าการรัฐของเดวิด บี. ฮิลล์ 

ซึ่งทำให้การสนับสนุนของคลีฟแลนด์ในสภาวะที่ไม่แน่นอนนั้นอ่อนแอลง จดหมายจากเอกอัครราชทูต

อังกฤษที่สนับสนุนคลีฟแลนด์ทำให้เกิดเรื่องอื้อฉาวที่ทำให้คะแนนเสียงของคลีฟแลนด์ในนิวยอร์ก

ต้องเสียไปทำให้เขาแพ้เลือกตั้งในปี 1888 (แต่ชนะ Popular Vote) 


ประธานาธิบดีสมัยที่ 2 (1893–1897)


สี่ปีต่อมา คลีฟแลนด์เอาชนะแฮร์ริสันในการเลือกตั้ง และได้รับตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยที่สอง 

อย่างไรก็ตามคลีฟแลนด์ถูก วิกฤตการณ์ทางการเงินที่ไม่ดีและความคิดเห็นที่ขัดแย้งกันของ

คลีฟแลนด์เกี่ยวกับประเด็นทางสังคมหนักมาก ความตื่นตระหนกทางเศรษฐกิจและปัญหาด้านการเงิน

ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้น คลีฟแลนด์และประเทศชาติเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ

 ความตื่นตระหนกรุนแรงขึ้นเนื่องจากการขาดแคลนทองคำอย่างเฉียบพลัน  เขาถูกวิพากษ์วิจารณ์

ถึงวิกฤตเศรษฐกิจร้ายแรงและการสูญเสียการควบคุมของพรรค


คลีฟแลนด์เป็นประธานาธิบดีคนเดียวในประวัติศาสตร์ของสหรัฐอเมริกาที่มีวาระการดำรงตำแหน่ง

ไม่ติดต่อกัน


คลีฟแลนด์เป็นสมาชิกพรรคเดโมแครตเพียงคนเดียวที่ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี

ในยุคการปกครองของพรรครีพับลิกันนาน 52 ปี


สุขภาพของคลีฟแลนด์เสื่อมถอยลงเป็นเวลาหลายปี และในฤดูใบไม้ร่วงปี 1907 เขาล้มป่วยหนัก 

ในปี 1908 เขาป่วยด้วยอาการหัวใจวาย และเสียชีวิตเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน ขณะอายุ 71 ปี ในบ้านพัก

ของเขาในพรินซ์ตัน คำพูดสุดท้ายของเขาคือ "ฉันพยายามอย่างหนักที่จะทำสิ่งที่ถูกต้อง"


เขาถูกฝังอยู่ในสุสานพรินซ์ตันของโบสถ์เพรสไบทีเรียนแนสซอ  

Princeton Cemetery of the Nassau Presbyterian Church.


Grover Cleveland Hall ในเมืองบัฟฟาโล รัฐนิวยอร์ก ตั้งชื่อตามคลีฟแลนด์ คลีฟแลนด์ฮอลล์เป็น

ที่ตั้งของสำนักงานของอธิการบดีวิทยาลัย รองประธาน และหน่วยงานด้านการบริหารและบริการ

นักศึกษาอื่นๆ คลีฟแลนด์เป็นสมาชิกคนหนึ่งของคณะกรรมการชุดแรกของโรงเรียนปกติบัฟฟาโล

ในขณะนั้น


โรงเรียนมัธยมโกรเวอร์คลีฟแลนด์ในบ้านเกิดของเขา คาลด์เวลล์ รัฐนิวเจอร์ซีย์ ได้รับการตั้งชื่อตามเขา


โรงเรียนมัธยมโกรเวอร์คลีฟแลนด์ในบัฟฟาโล นิวยอร์ก และเมืองคลีฟแลนด์ รัฐมิสซิสซิปปี้ 

ภูเขาคลีฟแลนด์ซึ่งเป็นภูเขาไฟในอลาสก้าก็ตั้งชื่อตามเขาเช่นกัน


ในปี 1895 เขากลายเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนแรกที่ถูกถ่ายทำเป็นภาพยนต์


แสตมป์ดวงแรกของสหรัฐฯ เพื่อเป็นเกียรติแก่คลีฟแลนด์ปรากฏในปี 1923


รูปเหมือนของคลีฟแลนด์อยู่บนธนบัตร 1,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ รุ่นปี 1928 และรุ่นปี 1934


เขายังปรากฏในสองสามฉบับแรกของธนบัตรธนาคารกลางสหรัฐมูลค่า 20 ดอลลาร์จากปี 1914


เหรียญ 1 ดอลลาร์ของประธานาธิบดี Grover Cleveland ปี 2012


ในปี 2013 คลีฟแลนด์ได้รับการแต่งตั้งให้เข้าสู่หอเกียรติยศนิวเจอร์ซีย์





วันศุกร์ที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567

วิลเลียม เฮนรี แฮร์ริสัน Harrison ปธน.ตำแหน่งสั้นที่สุดของสหรัฐ

 



วิลเลียม เฮนรี แฮร์ริสัน Harrison ปธน.ตำแหน่งสั้นที่สุดของสหรัฐ


วิลเลียม เฮนรี แฮร์ริสัน  William Henry Harrison


9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2316 - 4 เมษายน พ.ศ. 2384


วิลเลียม เฮนรี แฮร์ริสัน


เป็นนายทหารและนักการเมืองชาวอเมริกัน เขาเป็นประธานาธิบดีคนที่ 9 ของสหรัฐอเมริกา ในปี พ.ศ. 2384


ถึงแก่กรรม จากการเจ็บป่วย เขาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนแรกที่ถึงแก่อสัญกรรมในตำแหน่ง


เป็นประธานาธิบดีที่ดำรงตำแหน่งสั้นที่สุดเพียง 32 วัน


สาเหตุการเสียชีวิตของแฮร์ริสันยังคงเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ แต่อาจเป็นไทฟอยด์ ปอดบวม หรือไข้รากสาดเทียม 


การเสียชีวิตของแฮร์ริสันทำให้เกิดวิกฤติทางรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับการสืบทอดตำแหน่งประธานาธิบดีในช่วงสั้นๆ 


เนื่องจากรัฐธรรมนูญของสหรัฐอเมริกาในขณะนั้นไม่ได้กำหนดไว้อย่างชัดเจนว่ารองประธานาธิบดี 


จอห์น เทย์เลอร์ จะขึ้นรับตำแหน่งประธานาธิบดีต่อหรือไม่ หรือเพียงปฏิบัติหน้าที่ของตนโดยทำหน้าที่รักษาการเท่านั้น


เทย์เลอร์อ้างว่ารัฐธรรมนูญอนุญาตทำให้เขาประสบความสำเร็จขึ้นเป็น ปธน. 


การสาบานตนของเขาได้สร้างแบบอย่างที่สำคัญสำหรับการโอนอำนาจประธานาธิบดีในสหรัฐอเมริกาอย่างเป็นระเบียบ


โดยยืนยันว่าผู้สืบทอดมีสิทธิ์ที่จะดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีให้ครบวาระและใช้อำนาจทั้งหมด


แฮร์ริสันสาบานตนเข้ารับตำแหน่งในวัย 68 ปี สร้างสถิติใหม่ให้กับประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่อายุมากที่สุด 


( ก่อนที่จะถูกโรนัลด์ เรแกน วัย 69 ปี ทำลายสถิติในปี 1981และ ไบเดน จะมาทำลายต่อที่ 78 ปี )


ระยะเวลาของแฮร์ริสันในฐานะประธานาธิบดีนั้นสั้นมาก จนไม่มีประเด็นให้พูดถึงมากนักในแง่การทำงาน


พ่อของเขาเป็นชาวไร่ซึ่งเป็นตัวแทนของสภาคองเกรสภาคพื้นทวีปตั้งแต่ปี พ.ศ. 2317 ถึง พ.ศ. 2320


และลงนามในปฏิญญาอิสรภาพ ในช่วงสงครามปฏิวัติอเมริกา


แฮร์ริสันเริ่มศึกษาที่บ้านจนกระทั่งเขาเข้าเรียนที่วิทยาลัยแฮมป์เดน-ซิดนีย์ ซึ่งเป็นสถาบันเพรสไบทีเรียนในรัฐเวอร์จิเนีย 


เมื่ออายุ 14 ปี เขาได้รับการศึกษาแบบคลาสสิกที่นี่เป็นเวลา 3 ปี โดยมีหลักสูตรต่างๆ เช่น ละติน กรีก ฝรั่งเศส ตรรกะ และการอภิปราย


ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2334 แฮร์ริสันอยู่ที่บ้านของโรเบิร์ต มอร์ริส บอร์ดดิ้ง และเข้ามหาวิทยาลัยแห่ง เพนซิลเวเนีย 


ซึ่งเขาศึกษาด้านการแพทย์จากแพทย์สองคน ได้แก่ เบนจามิน รัช และวิลเลียม ชิปเพน ซีเนียร์


พ่อของเขาเสียชีวิตได้ไม่นาน วิลเลียมอายุเพียง 18 ปี และมอร์ริสกลายเป็นผู้ปกครองของเขา


ทางด้านการเงินของพวกเขานั้นขาดแคลนจึงไม่ได้รับการสนับสนุนให้เรียนต่อ


เขาจึง ตัดสินใจเลิกเรียนแพทย์และอุทิศตนเพื่ออาชีพทหาร


เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2334 แฮร์ริสันซึ่งอายุเพียง 18 ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นร้อยโทในกรมทหารราบที่ 1 


เขาถูกส่งไปยังป้อมวอชิงตันเป็นครั้งแรก และเข้าร่วมในสงคราม Northwest Indian War ร่วมกับกองทัพ


(เป็นความขัดแย้งทางอาวุธเพื่อควบคุมดินแดนทางตะวันตกเฉียงเหนือที่ต่อสู้ระหว่างสหรัฐอเมริกาและกลุ่มประเทศชนพื้นเมือง)


หลังจากที่กองทัพแห่งตะวันตกประสบความพ่ายแพ้อย่างหายนะภายใต้การนำของอาเธอร์ เซนต์ แคลร์


แฮร์ริสันได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นร้อยโทเมื่อแอนโธนี เวย์นเข้ารับตำแหน่งในปี พ.ศ. 2335


ในปี พ.ศ. 2336 เขากลายเป็นผู้ช่วยของเวย์น ได้รับโอกาสการเรียนรู้วิธีสั่งการกองทัพในแนวหน้า


เขายังเข้าร่วมในยุทธการที่ลูไจซึ่งได้รับคำสั่งจากเวย์นเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2337 


การรบจบลงด้วยชัยชนะอันยิ่งใหญ่สำหรับ สหรัฐอเมริกาและเป็นจุดเริ่มต้นของ Northwest Indian ช่วงสุดท้าย


ทั้งสองฝ่ายลงนามในสนธิสัญญากรีนวิลล์ ในปี พ.ศ. 2338 แฮร์ริสันยังอยู่ในสนธิสัญญาในฐานะพยาน


สหภาพอินเดียยกที่ดินบางส่วนให้กับรัฐบาลกลางโดยอนุญาตให้ชาวอเมริกัน 


หลังจากที่แม่ของเขาเสียชีวิตในปี พ.ศ. 2336 


ฮร์ริสันได้รับมรดกส่วนหนึ่งของครอบครัวในรัฐเวอร์จิเนีย ซึ่งรวมถึงที่ดินประมาณ 12 ตารางกิโลเมตรและทาสจำนวนมาก


เขาเลือกที่จะรับราชการในกองทัพต่อไปและขายที่ดินให้กับพี่ชายของเขา


พ.ศ. 2340 ในเดือนพฤษภาคม แฮร์ริสันได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นกัปตันเรือและเกษียณอายุในวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2341


ในปี พ.ศ. 2359 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จอห์น แมคลีน แห่งเขตรัฐสภาที่ 1 แห่งโอไฮโอ ลาออก 


แฮร์ริสันได้รับเลือกให้รับตำแหน่งต่อจากเขา โดยดำรงตำแหน่งตั้งแต่วันที่ 8 ตุลาคม ถึง มีนาคม พ.ศ. 2362


ในปี พ.ศ. 2360 เขาปฏิเสธคำเชิญของประธานาธิบดีเจมส์ มอนโร ให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงสงคราม


เขาได้รับเลือกเข้าสู่วุฒิสภาโอไฮโอในปี พ.ศ. 2362 และดำรงตำแหน่งจนถึงปี พ.ศ. 2364


ระหว่างนั้นเขาลงสมัครรับตำแหน่งผู้ว่าการรัฐโอไฮโอไม่สำเร็จในปี พ.ศ. 2363


ในปีพ.ศ. 2365 เขาลงสมัครรับตำแหน่งสภาผู้แทนราษฎรของรัฐบาลกลางอีกครั้ง แต่แพ้เจมส์ ดับเบิลยู. กาซเลย์ด้วยคะแนนเสียง 500 เสียง


ในปี พ.ศ. 2367 แฮร์ริสันได้รับเลือกเข้าสู่วุฒิสภาสหรัฐอเมริกา และดำรงตำแหน่งจนถึงวันที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2371


แฮร์ริสันยังเป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้งประธานาธิบดีของรัฐโอไฮโอในปี พ.ศ. 2363 และ พ.ศ. 2367 โดยสนับสนุน James Monroe และ Henry Clay


ในปีพ.ศ. 2371 ประธานาธิบดีจอห์น ควินซี อดัมส์ ได้แต่งตั้งแฮร์ริสันเป็นรัฐมนตรีผู้มีอำนาจเต็มของกราน โคลัมเบีย (สาธารณรัฐโคลอมเบีย)


** ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ทางตอนเหนือของอเมริกาใต้และตอนใต้ของอเมริกากลาง รวมดินแดนของโคลอมเบีย เอกวาดอร์ ปานามา และเวเนซุเอลาในปัจจุบัน


บางส่วนของภาคเหนือของเปรูและภาคตะวันตกเฉียงเหนือของบราซิล 


มาถึงโบโกตาเมื่อวันที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2371 และดำรงตำแหน่งจนถึงวันที่ 8 มีนาคมของปีถัดไป


สถานการณ์ในโคลอมเบียเลวร้ายมาก ประเทศกำลังจวนจะเกิดอนาธิปไตย ซิมอน โบลิบาร์ เคลื่อนไหวเพื่อเอกราช


มีแนวโน้มที่จะกลายเป็นผู้มีอำนาจทางทหาร เขาเขียนถึงโบลิวาร์ว่า "รัฐบาลที่เสรีที่สุดคือผู้แข็งแกร่งที่สุด" 


และเรียกร้องให้อีกฝ่ายสนับสนุนการพัฒนาประชาธิปไตย โบลิวาร์กล่าวในการตอบของเขาว่า 


"ดูเหมือนว่าพระเจ้าถูกกำหนดให้ปล่อยให้สหรัฐฯ ทรมานทวีปอเมริกาในนามของเสรีภาพ" 


ประโยคนี้ทำให้โบลิวาร์มีชื่อเสียงในประเทศแถบละตินอเมริกา


ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2372 แอนดรูว์ แจ็กสันเรียกแฮร์ริสันกลับมาหลังจากเข้ารับตำแหน่ง และโธมัส แพทริค มัวร์รับช่วงต่อจากเขา


แฮร์ริสันกลับไปใช้ชีวิตพลเรือนในนอร์ธเบนด์ โดยรับราชการในประเทศมาเกือบสี่สิบปี 


ปี พ.ศ. 2379 เขายังลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในฐานะผู้สมัครจากพรรควิกไม่สำเร็จ


เขาดำรงตำแหน่งเสมียนศาลแฮมิลตันเคาน์ตี้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2379 ถึง พ.ศ. 2383


จนกระทั่งเขาชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี พ.ศ. 2383


ในปีพ.ศ. 2383 แฮร์ริสันได้รับเลือกอีกครั้งจากพรรควิก ให้ลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดี ต่อสู้กับ แวน บูเรน อีกครั้ง


การเลือกตั้งเน้นย้ำถึงอาชีพทหารของแฮร์ริสันและความอ่อนแอทางเศรษฐกิจที่เกิดจากความตื่นตระหนกในปี พ.ศ. 2380


วิกส์เน้นย้ำถึงอาชีพทหารของแฮร์ริสัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งความกล้าหาญของเขาในยุทธการที่ทิปเปคานู


ในที่สุดแฮร์ริสันก็ได้รับชัยชนะด้วย คะแนนเสียงจากการเลือกตั้ง 234 เสียงเหนือประธานาธิบดีแวน บูเรน ซึ่งได้รับคะแนนเสียงเพียง 60 เสียง


แฮร์ริสันล้มป่วยเมื่อวันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2384 โดยมีอาการคล้ายไข้หวัด แต่ค่อยๆ แย่ลงในสองวันถัดมา


การวินิจฉัยและการรักษาของแพทย์เห็นได้ชัดว่าไม่มีผลใดๆ แพทย์วินิจฉัยว่าเขาเป็นโรคปอดบวมโดยเฉพาะบริเวณปอดส่วนล่างขวา


ในตอนแรกทำเนียบขาวไม่ได้ประกาศอาการของประธานาธิบดีอย่างเป็นทางการ 


ซึ่งก่อให้เกิดการคาดเดาต่างๆนานา หลายคนกลัวว่าเขาจะไม่อยู่ในสายตาของสาธารณชนเป็นระยะเวลานาน


ภายในสิ้นเดือนมีนาคม ผู้คนจำนวนมากมารวมตัวกันและเฝ้าอยู่นอกทำเนียบขาว เพื่อรอข่าวล่าสุดเกี่ยวกับอาการของประธานาธิบดี


เมื่อวันที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2384 วิลเลียม เฮนรี แฮร์ริสัน ถึงแก่กรรมหลังจากป่วยเป็นเวลาเก้าวัน สิริอายุได้ 68 ปี


เขาเป็นประธานาธิบดีคนแรกของสหรัฐอเมริกาที่ถึงแก่อสัญกรรมในตำแหน่งและเขาดำรงตำแหน่งได้เพียงเดือนเดียวเท่านั้น


หลังจากการเสียชีวิตของประธานาธิบดีมีช่วงไว้ทุกข์ 30 วัน


ทำเนียบขาวก็จัดพิธีต่างๆ ในที่สาธารณะตามแนวทางปฏิบัติงานศพของราชวงศ์ยุโรป


มีการจัดพิธีรำลึกที่ปีกตะวันออกของทำเนียบขาวซึ่งเปิดให้เฉพาะผู้ได้รับเชิญเท่านั้น


โลงศพของแฮร์ริสันถูกส่งไปยังสุสาน Congressional Cemetery (สุสานรัฐสภา มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า Washington Parish Burial Ground เป็นสุสานเก่าแก่)


ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2384 ศพของแฮร์ริสันถูกส่งไปยังนอร์ธเบนด์โดยรถไฟและเรือ จากนั้นฝังไว้ในวันที่ 7 กรกฎาคม ในสุสานของครอบครัว


บนยอดเขาเนโบ ฮิลล์ ซึ่งมองเห็นแม่น้ำโอไฮโอ และปัจจุบันคือ สุสานแห่งรัฐวิลเลียม เฮนรี แฮร์ริสัน


บทความที่เกี่ยวข้อง

จอร์จ วอชิงตัน 

อับราฮัม ลินคอล์น

จอห์น เอฟ. เคนเนดี้

แฟรงคลิน ดี. รูสเวลท์

แฮร์รี่ เอส. ทรูแมน

โทมัส เจฟเฟอร์สัน

เป็นบุคคลสำคัญ ประธานาธิบดีสหรัฐ ก่อนหน้านี้


วิลเลียม เฮนรี แฮร์ริสัน,William Henry Harrison,ประธานาธิบดี,สหรัฐอเมริกา,




วันพฤหัสบดีที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567

บอริส เยลต์ซิน Boris Yeltsin ประธานาธิบดีคนแรกของสหพันธรัฐรัสเซีย

 


บอริส เยลต์ซิน Boris Yeltsin ประธานาธิบดีคนแรกของสหพันธรัฐรัสเซีย


บอริส นิโคลาเยวิช เยลต์ซิน เยลต์ซินเกิดที่เมืองบุตคา 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2474


บอริส เยลต์ซิน Boris Yeltsin


เป็นนักการเมืองโซเวียตและรัสเซีย ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีแห่งรัสเซียจาก พ.ศ. 2534 ถึง 2542 


เขาเป็น เป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์แห่งสหภาพโซเวียตตั้งแต่ปี พ.ศ. 2504 ถึง พ.ศ. 2533 


ต่อมาเขายืนหยัดเป็นอิสระทางการเมือง ซึ่งในช่วงเวลานั้นเขาถูกมองว่ามีอุดมการณ์ที่สอดคล้องกับ

ลัทธิเสรีนิยม


เขาเป็นประธานาธิบดีคนแรกของรัสเซียหลังจากการล่มสลายของสหภาพโซเวียต 


เรียนที่มหาวิทยาลัยเทคนิคแห่งรัฐอูราลเขาทำงานด้านการก่อสร้าง


เข้าร่วมพรรคคอมมิวนิสต์ 


ในปี 1976 เขาได้เป็นเลขาธิการคนที่หนึ่งของคณะกรรมการแคว้นสแวร์ดลอฟสค์ของพรรค


เป็นผู้สนับสนุนการปฏิรูปเปเรสทรอยกาของผู้นำโซเวียต มิคาอิล กอร์บาชอฟ


ในปี 1987 เขาเป็นคนแรกที่ลาออกจาก Politburo ของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งสหภาพโซเวียต


ในปี 1990 เขาได้รับเลือกเป็นประธานของสภาโซเวียตสูงสุดแห่งรัสเซีย


ในปี 1991 ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีของสาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตรัสเซีย (RSFSR)


และมีบทบาทสำคัญในการยุบสหภาพโซเวียตอย่างเป็นทางการ 


การล่มสลายของสหภาพโซเวียต RSFSR จึงกลายเป็นสหพันธรัฐรัสเซียซึ่งเป็นรัฐเอกราช


เยลต์ซินยังคงอยู่ในตำแหน่งประธานาธิบดี ต่อมาเขาได้รับเลือกอีกครั้งในการเลือกตั้งปี 1996 

ซึ่งนักวิจารณ์อ้างว่าทุจริตอย่างแพร่หลาย


เยลต์ซินมีหน้าที่รับผิดชอบในการเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจสังคมนิยมของรัสเซีย 


ยุคเยลต์ซินโดดเด่นด้วยการคอรัปชั่นที่มากเกินไปและแพร่หลาย อัตราเงินเฟ้อ การล่มสลายทางเศรษฐกิจ


ปัญหาทางการเมืองและสังคมขนาดมหึมาที่ส่งผลกระทบต่อรัสเซียและสาธารณรัฐอื่นๆ ของสหภาพโซเวียต 


เยลต์ซินเปลี่ยนระบบเศรษฐกิจแบบสั่งการของรัสเซียให้เป็นระบบเศรษฐกิจแบบตลาดทุน


ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ ผู้มีอำนาจจำนวนน้อยได้รับทรัพย์สินและความมั่งคั่ง

ของชาติเป็นส่วนใหญ่ ในขณะที่การผูกขาดระหว่างประเทศเข้ามาครอบงำตลาด


ในปี 1993 หลังจากที่เยลต์ซินสั่งยุบรัฐสภารัสเซียโดยไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ส่งผลให้รัฐสภาถอดถอนเขา


หลังจากกองทหารที่ภักดีต่อเยลต์ซินบุกโจมตีอาคารรัฐสภาและหยุดการจลาจลด้วยอาวุธเขาก็ได้ทำการ

 ขยายอำนาจของประธานาธิบดีอย่างมีนัยสำคัญ


เยลต์ซินปกครองประเทศด้วยพระราชกฤษฎีกาจนถึงปี 1994 


ความรู้สึกแบ่งแยกดินแดนในคอเคซัสของรัสเซียนำไปสู่สงครามเชเชนครั้งแรก สงครามดาเกสถาน 

และสงครามเชเชนครั้งที่สองระหว่างปี 1994 ถึง 1999


เยลต์ซินส่งเสริมความร่วมมือครั้งใหม่กับยุโรป และลงนามข้อตกลงควบคุมอาวุธกับสหรัฐอเมริกา

 ท่ามกลางแรงกดดันภายในที่เพิ่มมากขึ้น


เขาลาออกในปลายปี 1999 ตำแหน่งประธานาธิบดีต่อโดยวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้สืบทอดตำแหน่งที่เขาเลือก


เขาเก็บตัวไม่เป็นที่รู้จักหลังจากออกจากตำแหน่ง และได้รับการจัดพิธีศพแบบรัฐเมื่อเขาเสียชีวิตในปี 2007


เขามีทั้งเรื่องที่ได้รับคำชมอย่าง บทบาทของเขาในการรื้อสหภาพโซเวียต เปลี่ยนรัสเซียให้เป็น

ประชาธิปไตยแบบตัวแทน และนำเสนอเสรีภาพทางการเมือง เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมใหม่ๆ 

ให้กับประเทศ


แต่ก็มีโดนต่อว่าหนักๆอย่างเช่น การจัดการทางเศรษฐกิจที่ผิดพลาด การทุจริต และการทำให้รัสเซีย

ในฐานะมหาอำนาจสำคัญของโลก ดูอ่อนแอลง


เยลต์ซินเสียชีวิตด้วยภาวะหัวใจล้มเหลว เมื่อวันที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2550 อายุ 76 ปี


เขาถูกฝังในสุสานโนโวเดวิชีเมื่อวันที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2550 เยลต์ซินเป็นประมุขแห่งรัฐรัสเซียคนแรก

ในรอบ 113 ปีที่ถูกฝังในพิธีในโบสถ์ ต่อจากจักรพรรดิอเล็กซานเดอร์ที่ 3


วลาดิเมียร์ ปูติน, บิล คลินตัน และจอร์จ เอช. ดับเบิลยู บุช ปรากฏตัวที่งานศพของเยลต์ซินประธานาธิบดี

ปูตินได้ประกาศให้วันงานศพของเขาเป็นวันไว้ทุกข์แห่งชาติ โดยลดธงชาติลงครึ่งเสา 


เขายังเป็นผู้นำคนแรกในประวัติศาสตร์รัสเซียและโซเวียตที่เสียชีวิตในวัยเกษียณ หลังจากโอนอำนาจ

อย่างสันติให้กับผู้สืบทอดของเขา


งานศพของเขาถ่ายทอดสดทางสถานีโทรทัศน์ของรัฐทุกแห่ง





วันพุธที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2566

ฟิเดล คาสโตร ( Fidel Castro )

 


ฟิเดล คาสโตร ( Fidel Castro )

ฟิเดล คาสโตร ( Fidel Castro ) หรือ ฟิเดล กัสโตร ผู้นำที่เป็นสัญลักษณ์ของคิวบา เป็นนายกรัฐมนตรี

ของประเทศคิวบา และ ดำรงตำแหน่ง. ประธานาธิบดีตั้งแต่ ค.ศ. 1976

คือนักปฏิวัติและนักการเมืองชาวคิวบาที่มีบทบาทสำคัญ ระดับคือการเป็นผู้กครองระบอบคอมมิวนิสต์

ในลาตินอเมริกา ปฏิวัติโค่นล้มรัฐบาลบาติสต้า (Batista) ที่มีอเมริกาสนับสนุน  เป็นการปฏิวัติด้วยอาวุธ

โดยขบวนการ 26 กรกฎาคม ต่อรัฐบาลผู้เผด็จการ

ฟิเดล คาสโตร ( Fidel Castro )


 - เกิด : 13 สิงหาคม ค.ศ. 1926 บิรัน คิวบา


 - กองทัพปฏิวัติคิวบา


 - ภายใต้การบริหารของเขาคิวบากลายเป็นรัฐคอมมิวนิสต์พรรคเดียว


 - มีความคิดแบบ ฝ่ายซ้ายและต่อต้านลัทธิจักรวรรดินิยมในขณะที่ศึกษากฎหมายที่มหาวิทยาลัยฮาวานา


 - มีส่วนร่วมในการกบฏต่อรัฐบาลฝ่ายขวาในสาธารณรัฐโดมินิกันและโคลัมเบียเขาวางแผนการโค่นล้ม

    ประธานาธิบดี  Fulgencio Batista ของคิวบา


 - จุดกำเนิดของ ขบวนการ 26 กรกฎาคม มาจากการโจมตีอันล้มเหลวต่อค่ายทหาร Moncada  

    26 กรกฎาคม ปี 1953


 - หลังจากถูกจำคุกหนึ่งปีคาสโตรเดินทางไปเม็กซิโก เพื่อจัดตั้งกลุ่มปฏิวัติ ขบวนการ 26 กรกฎาคม  

    โดยรวมนักปฎิวัติไว้มากมาย และมีบุคคลสำคัญอย่าง  ราอูล คาสโตร (Raúl Castro) น้องชาย, 

    กามีโล เซียนฟวยโกส (Camilo Cienfuegos) , อูเบร์ มาโตส (Juan Almeida Bosque) และ เช เกบารา 

    (Che Guevara) ชาวอาร์เจนตินา


 - กลับมาสู่คิวบาคาสโตรมีบทบาทสำคัญในการปฏิวัติคิวบาโดยนำการเคลื่อนไหวในสงครามกองโจร

    ต่อต้านกองกำลังของบาติสต้าจากเซียร์รามาสรา (Sierra Maestra) เป็นเทือกเขาที่ไหลไปทางทิศตะวันตก

    พาดผ่านทางตอนใต้ของจังหวัด Oriente เก่าทางตะวันออกเฉียงใต้ของคิวบา บริเวณนี้อุดมไปด้วย

    แร่ธาตุ โดยเฉพาะทองแดง แมงกานีส โครเมียม และเหล็ก


 - สามารถโค่นล้มรัฐบาลของ บาติสต้าได้สำเร็จในปี 1959 


 - เขาโดนลอบสังหารหลายครั้งโดยเชื่อว่าเป็นการทำของอเมริกาที่ต้องการลบเขาออกจากอำนาจทาง

    การเมือง ถือเป็นหนามยอกอก อเมริกามาตลอด


 - สหรัฐอเมริกามาเพื่อต่อต้านรัฐบาลของคาสโตร พวกเขาทั้งคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจและการต่อต้าน

    การปฏิวัติรวมถึงการรุกรานของอ่าวหมูในปี 1961


 - คาสโตรและโซเวียตนั้นเป็นพันธมิตรที่ดีต่อกัน จึงเป็นเหตุให้เกิดวิกฤตินิวเคลียร์ขึ้น


 - สหภาพโซเวียตได้ทำการติดตั้งอาวุธนิวเคลียร์ในคิวบา ( ในช่วงที่ จอห์น เอฟ. เคนเนดี เป็น ปธฯ. สหรัฐ ) 

    ส่งผลให้เกิดวิกฤตการณ์ขีปนาวุธคิวบาซึ่ง เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจากสงครามเย็น ในปี 1962


 - ฟิเดล คาสโตร ได้เปลี่ยนคิวบาให้กลายเป็นรัฐสังคมนิยมหนึ่งพรรคสังคมนิยมภายใต้การปกครอง

    ของพรรคคอมมิวนิสต์ซึ่งเป็นครั้งแรกในซีกโลกตะวันตก


 - ได้ไดทำการโปรโมท นโยบาย เศรษฐกิจส่วนกลางและการขยายการดูแลสุขภาพและการศึกษามา

    พร้อมกับการควบคุมสื่อของรัฐ การปราบปรามความขัดแย้งภายใน


 - ในต่างประเทศคาสโตรสนับสนุนกลุ่มนักปฏิวัติต่อต้านลัทธิจักรวรรดินิยมสนับสนุนการจัดตั้ง

    รัฐบาลมาร์กซ์ ในชิลี นิการากัวและเกรเนด้า


 - มีการสนับสนุนเหล่าพันธมิตรในสงครามอย่าง 


- สงครามยมคิปปูร์  ( Yom Kippur War) เป็นสงครามรบกันระหว่างแนวร่วมรัฐอาหรับซึ่งมีประเทศ

            อียิปต์และซีเรียเป็นผู้นำต่ออิสราเอล


-  สงครามโอกาเดน (Ogaden War) สงครามเอธิโอ-โซมาเลีย เป็นการรุกรานทางทหารของโซมาเลีย

             บนพื้นที่ความขัดแย้งเอธิโอเปีย


- สงครามกลางเมืองแองโกล่า (Angolan Civil War) เป็นสงครามกลางเมืองในแองโกลา เริ่มต้น

            ในปี 1975 สงครามเริ่มขึ้นทันทีหลังจากที่แองโกลาได้รับเอกราชจากโปรตุเกสในเดือนพฤศจิกายน 1975


 - จากนโยบายทางการแพทย์ที่ดีทำให้ ทางการแพทย์ของคิวบาได้รับการยอมรับจากนานาชาติ 

    มีโปรไฟล์ที่ดีในสายตาชาวโลก


 - เป็น ประมุขแห่งรัฐที่ไม่ได้ให้บริการที่ยาวนานที่สุดในศตวรรษที่ 20 และ 21 ความ


 - ฟิเดล คาสโตร ถือเป็นสุดยอดนัก ของลัทธิสังคมนิยมและต่อต้านลัทธิจักรวรรดินิยมซึ่งรัฐบาลปฏิวัติ

    ได้พัฒนาก้าวหน้าทางเศรษฐกิจและสังคมในขณะที่ยังรักษาความเป็นอิสระของคิวบาจากอำนาจโลก

    เสรีไว้ได้


 - นักวิจารณ์เรียกเขาว่าเป็นเผด็จการที่บริหารงานด้านการละเมิดสิทธิมนุษยชน 


 - ฟิเดล คาสโตรถึงแก่อสัญกรรมขณะมีอายุได้ 90 ปี เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน ค.ศ. 2016 เป็นนักปฏิวัติ

    และนักการเมืองคิวบา ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคิวบาตั้งแต่ ค.ศ. 1959 ถึง 1976 และ

    ประธานาธิบดีตั้งแต่ ค.ศ. 1976 ถึง 2008 


 - หลังจากการตายของคาสโตรรัฐบาลคิวบาประกาศว่าจะผ่านกฎหมายห้ามการตั้งชื่อของ "สถาบัน ถนน

    สวนสาธารณะหรือสถานที่สาธารณะอื่น ๆ หรือสร้างรูปปั้นรูปปั้นหรือรูปแบบอื่น ๆ " เพื่อเป็นเกียรติแก่

    ผู้นำคิวบาผู้ล่วงลับตามความปรารถนาของเขา





วันอังคารที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565

จอร์จ เวอาห์ ตำนานไลบีเรีย George Weah

 


จอร์จ เวอาห์ ตำนานไลบีเรีย

ถ้าจะหานักเตะที่เป็นบุคลสำคัญ ของทวีป แอฟริกา ต้องมีชื่อคนนี้ อย่างแน่นอน

ยุโรปมีนักเตะระดับตอนาน อย่าง เปเล่ และมาราโดน่า 

อีกคนยูเซบิโอ แห่งโปรตุเกส แอฟริกาแท้ๆ ก็ต้อง จอร์จ เวอาห์คนนี้ ผู้ที่เป็น

นักเตะแอฟริกาคคนแรกที่ได้ บัลลงดอร์

ยูเซบิโอ เสือดำแห่งโมซัมบิก Eusébio


1. จอร์จ เวอาห์ : George Weah


2. ชื่อเต็ม : George Tawlon Manneh Oppong Ousman Weah


3. อดีตนักฟุตบอลอาชีพชาวไลบีเรีย


4. ปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีไลบีเรียคนที่ 25 ตั้งแต่ ค.ศ. 2018 


5. อดีตนักเตะของสโมสรดังอย่าง โมนาโก / ปารีส แซงต์ แชร์กแมง / เอซี มิลาน / เชลซี / แมนซิตี้ 

และ มาร์กเซย์


6. เกิดเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม ค.ศ.1966 


7. ตำแหน่ง : กองหน้าตัวเป้า


8. สโมสรอาชีพแรกสมัยเยาวชน : Young Survivors Claratown


9. เยาวชนปี 1984 -1985 : Bongrange Company


10. 1985–1986 : Mighty Barrolle


11. 1986–1987 : Invincible Eleven


12. 1987 : Africa Sports


13. 1987–1988 : Tonnerre Yaoundé


เล่นให้โมนาโก ทีมดังในฝรั่งเศส จากสายตาอันเฉียบแหลมของ อาแซน วเนเกอร์


14. ลงเล่นไป 5 ฤดูกาล 1987–92 เขายิงได้ 57 ประตู และทีมคว้าแชมป์เฟรนช์คัพในปี 1991


15. ทักษะการเลี้ยงบอลและการยิงที่ยอดเยี่ยมของเขาทำให้เขาถูกเซ็นสัญญาไปเร่วมทีมดังใน

เมืองหลวงของฝรั่งเศสอย่าง ปารีส แซงต์-แชร์กแมง


กับปารีส แซงต์-แชร์กแมง


16. เขานำ PSG ไปสู่การได้แชมป์การแข่งขัน กุปเดอฟร็องส์ 2 สมัย  French league 1994 กุปเดอลาลีก 1995 


17. คว้าแชมป์ลีก และเข้าสู่รอบรองชนะเลิศของ บอลยุโรปใน ปี 1995


18. และคว้าดาวซัลโว บอลสโมสรยุโรป ในฤดูกาล 1994-1995 ยิงไป 7 ประตู พา ปารีส เข้าถึงรอบรอง


19. ยังสามารถเข้าถึงรอบรองชนะเลิศของยูฟ่าคัพ 1992–93 และรอบรองชนะเลิศของถ้วยยุโรป

คัพวินเนอร์สคัพ 1993–94


20. ยิงได้16 ประตูจาก 25 เกมในบอลยุโรป


21. ได้รับรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของแอฟริกาเป็นครั้งที่2 หลังจากครั้งแรกได้ตอนอยู่ โมนาโก 

ปี 1989


สร้างผลงานที่มิลาน 


22. หลังจากบินสูงกับปารีส ในปี 95 ปีเดียกวันก็เข้าสู่ทีม เอซี มิลาน ของอิตาลี 


23. ปี 96 เขาคว้าแชมป์ลีกอิตาลีในปี 1996 ทันทีภายใต้การคุมทีมของฟาบิโอ คาเปลโล่จบฤดูกาล

ด้วยการเป็นผู้ทำประตูสูงสุดของมิลาน 


24. เขาคว้าแชมป์เซเรีย อาอีกครั้งในปี 1999


25. ปี97/98 เขาพามิลานเช้าชิง โคปปาอิตาเลีย เจอลาซิโอ ผลจบลงที่ 2 นัด มิลานแพ้ไป 3-2 เวอาห์

ทำได้ 1 ประตู


26. ปี 96 และ 99 เขาพามิลานเข้าแข่ง อิตาเลียนซูเปอร์คัพ โดยได้รองแชมป์ทั้ง 2 ปี โดยแพ้แก่ 

ฟิออเรนติน่า และปาร์ม่า ตามลำดับ


27. อยู่กับมิลาน 5 ปี ทำไปได้ 58 ประตูจาก 147 นัด ทุกรายการ


28. ได้บัลลงดอร์ จากผลงานตอนอยู่ที่ปารีส และมิลาน ปี1995 


29. ย้ายข้ามฟากมายังอังกฤษ ในช่วงท้ายกับ 2 สโมสร อย่าง เชลซี แมนซิตี้ลงเล่นไปรวมๆลงสนาม

รวม 24 นัด ยิงไป 9 ประตู


30. ย้ายไปมาร์กเซย ทีมดังในฝรั่งเศสอีก ลงไป 28 นัดยิง 6 ประตู ก่อนบันปลายย้ายไป อัลจาซีร่า 

อาบูดาบี ใน ยูเออี ช่วงบั้นปลาย ในปี 2001/02 ก่อนเลิกเล่น


31. ในนามสโมสรทั้งหมด เขาลงเล่นไป 478 นัด ยิงไป 193 ประตู


กับทีมชาติ 


32. ลงเล่นให้ทีมชาติ 74 นัด : ทำไป 17 ประตู 


ผลงานกับแต่ละสโมสร 


โมนาโก


33. แชมป์ French Cup : 1991


34. รองแชมป์ ลีกเอง : 1991 และ 1992


35. รองแชมป์ Cup Winners' Cup : 1992


ปารีส แซง แชร์กแมง


36. แชมป์ลีกเอง :  ปี 1994


37. แชมป์ Coupe de la Ligue : 1995


38. แชมป์ French Cup : 1993 / 1995


มิลาน


39. แชมป์ กัลโช่ ซีเรีย อา 2 สมัย  : 1996 และ 1999


40.  รองแชมป์ โคปาอิตาเลีย : 1998


41. รองแชมป์ ซุปเปอร์โคปปา : 1996 และ 1999



เชลซี 


42. แชมป์ เอฟเอคัพ : 2000


รางวัลส่วนตัวที่เด่นๆ


43. Ballon d'Or บัลลงดอร์ :  1995 เวอาห์ เป็นนักเตะจากทวีปแอฟริกาคนแรกที่คว้ารางวัลบัลลงดอร์ 


44. African Golden Ball : 1989 และ 1994


45. รางวัลนักเตะแอฟริกันแห่งปี : 1995


46. นักฟุตบอลยอดเยี่ยมของโลกแห่งปี : 1995


47. นักเตะยอดเยี่ยมกัลโช่ เซเรีย อา จาก นิตยสาร กาซเซตต้า เดลโล่ สปอร์ต : 1996


48. นักเตะต่างชาติยอดเยี่ยมลีกเอิง : 1991


ปัจจุบันเข้าสู้วงการการเมืองเต็มตัว โดยดำรงตำแหน่งสูงสุดอย่าง ประธานาธิบดี ของประเทศ 

ไลบีเรีย บ้านเกิด