หน้าเว็บ

วันเสาร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2565

โจเซฟ สตาลิน (Joseph Stalin) เผด็จการแห่งสหภาพโซเวียต



โจเซฟ สตาลิน เผด็จการแห่งสหภาพโซเวียต


 โจเซฟ สตาลิน ผู้นำสหภาพโซเวียต


โจเซฟ สตาลิน เกิด โยเซบ เบซาริโอนิส ดซูกัสวิลี18 ธันวาคม ค.ศ. 1878 โกรี เขตผู้ว่าการติฟลิส 

จักรวรรดิรัสเซีย บุคคลสำคัญเป็นผู้นำของสหภาพสาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียต (USSR) ตั้งแต่ปี 1929

 ถึง ปี 1953 ผู้ที่ทำให้สหภาพโซเวียตเปลี่ยนแปลงจากสังคมการเกษตรและชาวนามาเป็นมหาอำนาจ

ทางอุตสาหกรรมและการทหาร เขาปกครองผู้คนในสหภาพด้วยความโหดร้ายสร้างความหวาดกลัว

ไปทั่วทุกแห่ง ในยุคของเขาประชาชนนั้นถูกปราบปรามและเสียชีวิตนับล้านคน

พื้นเพเขาเป็นคนยากจน เข้ามามีส่วนร่วมกับการปฏิวัติของกลุ่มบอลเชวิค ที่ทำให้ราชวงศ์โรมานอฟ 

ต้องล่มสลาย นั่นเป็นก้าวแรกสู่เส้นทางของเขาและเข้ามามีบทบาทในพรรคสังคมนิยมมากขึ้น 

หลังจากเลนิน เสียชีวิต เขาก็เข้าควบคุมพรรคเอาไว้ได้ รวมอำนาจไว้ที่ตัวเองและเริ่มจุดการศัตรู

ทางการเมืองที่เห็นต่างกับตัวเองเขานั้นเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยอยู่ฝ่ายสัมพันธมิตร 

ต่อต้านการรุกรานจากเยอรมันและเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เยอรมันติดหล่มในสงครามกับโซเวียต 

ส่งผลให้พ่ายแพ้ไปแต่ต้องให้เครดิตอะมริกาอย่างมากในด้านการสนับสนุนยุทธปัจจัย 

ให้แก่โซเวียตทั้งแบบให้เปล่าและให้ยืม ต่อมาเมื่อสงครามโลกจบ ด้วยความที่การปกครอง

และระบอบที่แตกต่างกันกับอดีตพันธมิตรร่วมรบที่ไม่ค่อยจะไว้ใจกันแต่แรก ทำให้สตาลินและโซเวียต 

เข้าสู่เกมสงครามเย็นกับอดีตเพื่อนร่วมรบอย่างอเมริกา ที่ก็ไม่ค่อยไว้ใจกันตั้งแต่แรกอยู่แล้ว

โจเซฟ สตาลิน (Joseph Stalin)


1. สตาลินเกิด Josef Vissarionovich Dzhugashvili เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2421 หรือ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2421


2. พ่อของเขาเป็นช่างทำรองเท้าและติดเหล้าและชอบทุบตีเขา


3. แม่ของเขาเปิดร้านซักรีด


4. เขาได้รับอิทธิพลจากการศึกษาจากการอ่านงานของนักปรัชญาทางสังคมของเยอรมัน และ 

คาร์ล มาร์กซ์


5. สตาลินมีความสนใจในการต่อต้านสถาบันกษัตริย์ของรัสเซีย


6. หลังจากโดนไล่ออกจากโรงเรียนเนื่องจากการขาดเรียน สตาลิน ก็ได้เข้าไปมีบทบาททางการเมือง

ในรูปแบบใต้ดิน


7. ทั้งร่วมประท้วง หรือการหยุดงานประท้วงของแรงงาน


8. เขาเข้าไปมีส่วนร่วมกับบอลเชวิค ที่นำโดยเลนิน และทำผิดกฎหมายหลายครั้งจนโดนจำคุก

และ เนรเทศไปไซบีเรีย


9. เขาแต่งงาน 2 ครั้งและมีลูกนอกสมรสหลายคน


10. สตาลินได้รับการแต่งตั้งเป็น คณะกรรมการกลางชุดแรกของพรรคบอลเชวิค หลังเลนินต้องลี้ภัย

ไปอยู่สวิตเซอร์แลนด์


11. บอลเชวิคเข้ายึดอำนาจในรัสเซีย ก่อตั้งสหภาพโซเวียต ในปี 1922 


12. เลนิน ได้แต่งตั้งให้สตาลินขึ้นเป็นเลขาธิการคณะกรรมการกลางของพรรคคอมมิวนิสต์


13. ด้วยตำแหน่งนี้สตาลินสามารถ แต่งตั้งพรรคพวกลูกน้องตัวเองเข้ามาทำงานให้รัฐบาลและพรรคได้ 

จึงเสริมอำนาจบารมีทางการเมืองของตัวเองไปด้วยในตัว


14. หลังเลนินเสียชีวิตในปี 1924 สตาลิน ก็สามารถแย่งชิงอำนาจจากคู่แข่งคนอื่นขึ้นเป็นผู้นำที่มีอำนาจ

เด็ดขาด ที่สุดของพรรคคอมมิวนิสต์ได้


15. เขาเริ่มนโยบายที่จะทำให้โซเวียต เปลี่ยรจากสังคมชาวนาหรือเกษตรกร มาเป็นมหาอำนาจทาง

อุตสาหกรรทด้วยการเข้าไปควบคุม เกษตรชาวนานับล้าน 


16. จากการเข้าไปควบคุมแกมบังคับทำให้ชาวนานับล้านต่อต้าน จึงเป็นเหตุให้ชาวนานับล้านคนต้อง

ถูกยิงทิ้งหรือเนรเทศ


17. เขาปกครองด้วยความเผด็จการ สร้างความหวาดกลัวแก่ผู้คน


18. เขาได้ทำการ เปลี่ยนชื่อเมืองวอลโกกราดเป็นสตาลินกราด เขียนหนังสือประวัติศาสตร์ของโซเวียต

โดยให้ตัวเองเด่น เข้าไปมีตัวตนอยู่ใน เพลงชาติโซเวียต ควบคุมสื่อและกวาดล้างคนเห็นต่าง


19. ช่วงแรกในสงครามโลกครั้งที่สอง เขากับ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ผู้นำนาซี ลงนามในสนธิสัญญาไม่รุกรานกัน


20. ไม่นานโซเวียตจึงเริ่มไปผนวกดินแดน ของโปแลนด์ โรมาเนีย เอสโตเนีย ลัตเวีย ลิทัวเนีย และยังไป

รุกรานฟินแลนด์


21. ปี 1941 เยอรมันทรยศต่อสนธิสัญญาไม่รุกรานกันกับโซเวียต จึงเกิดก่อนสงคราม กับโซเวียตขึ้น

 เยอรมันบุกยึดจนใกล้จะถึงมอสโก


22. สตาลิน สามารถเอาชนะนาซีเยอรมันที่ ยุทธการสตาลินกราด ด้วยการใช้วิธีคลื่นมนุษย์ เข้าทำลาย

กองทัพเยอรมันทำให้กองทัพแดงของโซเวียตเป็นฝ่ายชนะ


23. เขามีส่วนนึงที่ทำให้เยอรมันติดหล่มในดินแดนโซเวียตส่งผลให้ฝ่ายสัมพันธมิตร ได้เปรียบจนสามารถ

มีชัยเหนือฝ่ายอักษะของเยอรมันได้สำเร็จ 


24. แม้สงครามจะจบไปแล้วเขายังคงปราบ กวาดล้าง เนรเทศไปใช้แรงงาน สำหรับผู้ที่เห็นต่าง


25. สตาลินได้เข้าไปมีอิทธิพล ในประเทศยุโรปต่างๆ และทั่วโลกในการเผยแพร่ลัทธิคอมมิวนิสต์ และ

นำโซเวียตเข้าสู่ยุคนิวเคลียร์ เขาและสหรัฐอเมริกายืนกันลงคนละฝ่ายในสงครามเย็นและส่งเสริมให้

เกิดสงครามเกาหลี ทำให้สองเกาหลีต้องแยกออกเป็น เหนือ ใต้


26. สตาลินเสียชีวิตในวันที่ 5 มีนาคม 1953 ด้วยโรคหลอดเลือดสมอง ร่างของเขาถูกนำไปเก็บไว้

 ในสุสานของเลนินที่จตุรัสแดงกรุงมอสโก 


27. แต่ปี 1961 ร่างของเขาก็ถูกนำไปฝังไว้ใกล้กับกำแพงเครมลิน เพราะผลมาจากนโยบายของ 

นิกิต้า ครุสชอฟ ผู้นำคนใหม่ของโซเวียต ที่ต้องการ ล้มล้างอิทธิพลของสตาลิน หรือเรียกว่า 

นโยบายล้มล้างอิทธิพลของสตาลิน De-Stalinization 


28. ในช่วงที่อยู่ในอำนาจมีการคาดการว่า สตาลินต้องรับผิดชอบต่อการเสียชีวิตของผู้คนมากถึง 20 ล้านคน

จากการปกครองที่โหดเหี้ยม เผด็จการของเขา



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น