หน้าเว็บ

วันอาทิตย์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

โคโนสุเกะ มัตสึชิตะ นักประดิษฐ์ผู้ก่อตั้ง Panasonic

 


โคโนสุเกะ มัตสึชิตะ นักประดิษฐ์ผู้ก่อตั้ง Panasonic


Kōnosuke Matsushita  โคโนะสุเกะ มัตสึชิตะ


27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2437 - 27 เมษายน พ.ศ. 2532


โคโนสุเกะ มัตสึชิตะ นักประดิษฐ์ผู้ก่อตั้ง Panasonic



เกิดในหมู่บ้านวาซามูระ ซึ่งเป็นหมู่บ้านเล็กๆ ที่ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของเมืองวากายามะ


ลูกคนสุดท้องจากพี่น้องทั้งหมดแปดคน ชีวิตวัยเด็กค่อนข้างอยู่สบายดี


แต่ด้วยปัญหาจากการขาดทุนจากผลของการลงทุนในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ที่ย่ำแย่ 


และครอบครัวจึงถูกบังคับให้ออกจากฟาร์มและย้ายไปอยู่บ้านหลังเล็กๆ


เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระของครอบครัวเขาจึงเข้าไปทำงานฝึกงานที่ร้านฮิบาชิ (เตาถ่าน)


ต่อมาเขาไผทำงานที่ร้านขายจักรยาน ในร้านนั้นยังมีการรับงานทำโลหะเล็กน้อยบ้าง


เขาจึงได้เรียนรู้การใช้เครื่องกลึงและเครื่องมืออื่นๆ ได้อย่างรวดเร็ว


เขาทำงานไปด้วยและเรียนเขาสามารถเรียนภาคค่ำและเรียนจนจบได้ 


ในช่วงเวลานั้นรถรางเริ่มปรากฎตัวบนถนนสายหลัก เขาตระหนักถึงว่าไฟฟ้าจะเป็นกระแสหลัก


ในอนาคตคือสาขางานใหม่ที่จะเป็นงานกระแสหลักในอนาคตเขาจึงสมัครงานที่บริษัท Osaka Electric Light



ตอนอายุ 20 ปี น้องสาวของโคโนสึเกะได้แนะนำให้เขารู้จักกับมูเมโนะ เพื่อนของเธอ ไม่กี่เดือนต่อมา 


ทั้งสองก็แต่งงานกัน


เขาได้รับการเลื่อนตำแหน่งอย่างรวดเร็วไปสู่ตำแหน่งที่มีเงินเดือนสูงขึ้น จนกระทั่งเมื่ออายุ 22 ปี 


เขาได้กลายมาเป็นเจ้าหน้าที่ตรวจสอบ เขาใช้เวลาในยามว่างสร้างเต้ารับไฟฟ้าขึ้นมาแล้วเสนอให้หัวหน้า


ซื้อผลงานของเขาแต่ไม่เป็นผล ณ เวลานั้นเขารู้สึกหมดความท้าทายในการทำงาน จึงได้ลาออกากงาน


แล้วเปิดบริษัทผลิตสินค้าขนาดเล็กของตัวเองขึ้นในวันที่ 15 มิถุนายน 1917


เขามีเงินออมอยู่แค่ 100 เยนซึ่งถือว่าน้อยนิดมากในการมาซื้ออุปกรณ์การผลิตเครื่องมือพื้นฐานอื่นๆ


แต่เขาก็ยังเปิดร้านในตึกแถวเล็กๆ พร้อมกับเพื่อนร่วมงานสองคนจากบริษัท Osaka Electric Light Company 


และ Toshio น้องชายคนเล็กของ ภรรยาเขา ยอดขายของปลั๊กไฟนั้นไม่ดีนัก และในช่วงปลายปี 1917 


อดีตเพื่อนร่วมงานของเขาที่มาจากบริษัทเดียวกันก็ขอถอนตัว เหลือเพียง พรรยาและน้องภรรยาของเขาเท่านั้น


ในขณะที่เกือบจะล้มละลาย บริษัทก็รอดมาได้ด้วยคำสั่งซื้อแผ่นฉนวนสำหรับพัดลมไฟฟ้าจำนวนหนึ่งพันแผ่นโดยไม่คาดคิด


เมื่อธุรกิจเริ่มคึกคักขึ้นและโคโนสุเกะมีเงินลงทุน เขาจึงเช่าบ้านสองชั้นและเปิดบริษัท 


Matsushita Electric Housewares Manufacturing Works ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นบริษัท Panasonic


ปลั๊กต่อแบบนวัตกรรมใหม่และปลั๊กสองทางซึ่งเขาออกแบบเอง


ผลิตภัณฑ์ใหม่เหล่านี้ได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม ทำให้บริษัทได้รับชื่อเสียงในด้านคุณภาพสูงในราคาต่ำ และในปี 1922 


โคโนสุเกะต้องสร้างโรงงานและสำนักงานใหม่เพื่อรองรับธุรกิจที่กำลังเติบโตของเขา


ในปี 1923 มองเห็นความน่าสนใจของตลาดโคมไฟจักรยานแบบใช้แบตเตอรี่ เขามุ่งมั่นแก้ไขข้อบกพร่องเดิมๆ


ของโมไฟแบบใช้แบตของจักรยานให้ดียิ่งขึ้นเพื่อนำมาเป็นสินค้าใหม่ ใช้เวลาหกเดือนในการออกแบบโคมไฟจักรยาน


ทรงกระสุนที่สามารถใช้งานได้นานถึง 40 ชั่วโมงโดยไม่ต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่ จากเดิมที่ทำงานได้แค่ 3 ชั่วโมง 


เขาส่งของให้ร้านจักรยานด้วยตัวเอง เพราะผู้ค้าส่งไม่เชื่อในคามสามารถของโคมไฟที่เขากล่าวอ้าง 


พวกเขาทดสอบประสิทธิภาพของโคมไฟของเขาด้วยตนเอง จากความสำเร็จนี้คำสั่งซื้อต่างๆ 


ก็หลั่งไหลเข้ามายังบริษัทของเขา เขายังได้พัฒนาโคมไฟชุดที่ 2 ที่มีทรงเหลี่ยมอีก และพยายามจะสร้างแบรนด์


เขาได้พบคำว่า "international" ใน นสพ อังกฤษ ซึ่งมีคำว่า "national" ประชาชาติ ประชาชน ซึ่งเป็นความหมายดี


ซึ่งเขาคาดหวังว่าสินค้าของเขาจะต้องมีอยู่ในทุกครัวเรือนในสักวันหนึ่ง และในปี 1927 แบรนด์ National จึงถือกำเนิดขึ้น


ยุคนั้นสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆมีราคาแพงมาก เขาเลยมีความคิดที่จะทำสินค้าที่มีราคาถูกพอที่คนทั่วไปจะเอื้อมถึงได้ 


และก่อตั้งแผนกแยกต่างหากเพื่อออกแบบผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าความร้อน และพัฒนาเตารีด ได้มีการพัฒนา "ซูเปอร์เตารีด" ("Super-Iron")


"Super-Iron" ซูเปอร์เตารีดแห่งชาติเปิดตัวในราคา 3.2 เยน ซึ่งต่ำกว่าราคา 5 เยนของเตารีดของคู่แข่งมาก


โคโนสุเกะสามารถผลิตวิทยุแบบสามหลอดได้ภายในสามเดือน และได้รับรางวัลชนะเลิศในการประกวดที่จัดโดยสถานีวิทยุสาธารณะโตเกียวทันที


โคโนสึเกะคิดค้นและก่อตั้งระบบการจัดการแบบอิสระ โดยแบ่งบริษัทของเขาออกเป็นสามแผนก 


แผนกแรกผลิตวิทยุ 


แผนกที่สองผลิตไฟส่องสว่างและแบตเตอรี่แห้ง 


แผนกที่สามผลิตอุปกรณ์เดินสาย เรซินสังเคราะห์ และผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าความร้อน


ทำให้สามารถมอบหมายความรับผิดชอบได้มากขึ้น รวมถึงให้ได้เรียนรู้เรื่องธุรกิจและการขายแก่ผู้จัดการได้มากขึ้น


ในช่วงอายุ 38 บริษัทผลิตสินค้าได้มากกว่า 200 รายการ ขยายกิจการ ปี1933 บริษัทจึงย้ายไปยังโรงงานแห่งใหม่


และสำนักงานใหญ่ในเมืองคาโดมะ ทางตะวันออกเฉียงเหนือของโอซากะ 


ในปี 1934 ได้เปิดสถาบันฝึกอบรมพนักงานที่โรงงานคาโดมะเพื่อเสนอหลักสูตร 3 ปีให้กับบัณฑิต


ชั้นประถมศึกษาที่ผสมผสานการศึกษาทางด้านวิศวกรรมและธุรกิจ 


ในปี 1935 ควรให้ความสนใจกับธุรกิจในต่างประเทศมากพอๆ กับธุรกิจในประเทศ


ในวันที่ 15 ธันวาคมของปีเดียวกัน โคโนะสุเกะได้จัดตั้งบริษัทขึ้นและเปลี่ยนชื่อเป็น “Matsushita Electric Industrial Company limited”


สงครามในแปซิฟิก ความพยายามในการผลิตสินค้าคุณภาพสูงยังคงดำเนินต่อ ผลจากสงครามทำให้ พานาโซนิค


เสียโรงงานไป 32 แห่ง ส่วนใหญ่อยู่ในโตเกียวและโอซากะ


สำนักงานใหญ่และโรงงานหลักรอดมาได้ แต่บริษัทแทบจะต้องสร้างตัวเองขึ้นมาใหม่ตั้งแต่ต้น


การก่อตั้งสหภาพแรงงาน ในปี 1946 


เนื่องจากบริษัทผลิตอุปกรณ์ทางการทหารในช่วงสงคราม โคโนะสุเกะจึงได้รับคำสั่งให้ลาออกจากตำแหน่งประธานบริษัท


เรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน สหภาพแรงงาน ร้านค้าปลีก และบริษัทในเครือ ได้บอกว่าเขามีความจำเป็นต่อการต้องฟื้นฟูบริษัท


ยื่นคำร้องเพื่อยกเลิกคำสั่งลาออก ผู้บัญชาการทหารสูงสุดแห่งฝ่ายพันธมิตรได้อนุญาตให้เขาและกรรมการของบริษัท


ยังคงอยู่ในบริษัท ซึ่งถือเป็นการพลิกกลับนโยบายที่ไม่ค่อยเกิดขึ้นบ่อยนัก


ในปี 1946 ได้ก่อตั้งองค์กรขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหาพื้นฐานเกี่ยวกับสภาพของมนุษย์ ตั้งชื่อองค์กรนี้ว่า PHP Institute 


และเริ่มจัดพิมพ์นิตยสาร PHP ในปีถัดมา


ในปี 1952 มองหาพันธมิตรทางธุรกิจในต่างประเทศ หลังจากการเจรจาที่เข้มข้นมาก พานาโซนิคจึงได้จัดทำข้อตกลง


ความร่วมมือทางเทคนิคกับฟิลิปส์แห่งเนเธอร์แลนด์ โดยก่อตั้ง Matsushita Electronics Corporation ขึ้นในรูปแบบการร่วมทุน


ปี 1958 ได้รับการประดับยศเครื่องราชอิสริยาภรณ์ออเรนจ์-นัสเซาจากราชินีแห่งเนเธอร์แลนด์ และพิธีดังกล่าวจัดขึ้นที่


สถานทูตเนเธอร์แลนด์ในโตเกียว รางวัลนี้มอบให้ "สำหรับการมีส่วนสนับสนุนที่โดดเด่นและการให้บริการเพื่อความร่วมมือ


ทางเศรษฐกิจและการส่งเสริมมิตรภาพ" ซึ่งเป็นรางวัลสูงสุดในเนเธอร์แลนด์ที่มอบให้กับพลเมืองต่างชาติ


โคโนสุเกะเป็นคนแรกที่ได้รับการประดับยศนี้จากราชินีแห่งเนเธอร์แลนด์หลังสงครามโลกครั้งที่สอง 


เขายังมีส่วนสนับสนุนในการส่งเสริมมิตรภาพระหว่างสองประเทศด้วยการก่อตั้งและดำรงตำแหน่ง


ประธานสมาคมญี่ปุ่น-เนเธอร์แลนด์แห่งคันไซในปี 1959


โคโนะสุเกะได้รับการประดับยศอีกครั้ง ในการส่งเสริมมิตรภาพกับประเทศอื่นๆ


รางวัล Medalie De Honra Ao Merito Cultural Award จากบราซิล


รางวัล Commandeur de L'Ordre de la Couronne Award จากพระมหากษัตริย์เบลเยียม


รางวัล Panglima Mangku Negara และตำแหน่ง Tan Sri จากพระมหากษัตริย์มาเลเซีย


ในปี 1959 ขยายกิจกรรมทางธุรกิจไปยังต่างประเทศ โดยเขาก่อตั้ง MECA ในนิวยอร์ก


ยังได้สร้างโรงงานในต่างประเทศอีกด้วย รวมถึง National Thai ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตใน


ต่างประเทศแห่งแรกในปี 1961 และ Matsushita Electric (ไต้หวัน) ในปี 1962


ในปี 1961 เมื่ออายุ 65 ปี ประกาศลาออกแต่ยังคงสนับสนุนบริษัทในเบื้องหลังต่อไป


ขึ้นปกนิตยสาร TIME ในปี 1962 ตอนอายุ 67 ปี


ปี 1964 โคโนะสุเกะยังได้ลงนิตยสาร LIFE และได้รับการขนานนามว่าเป็น 


"นักอุตสาหกรรมชั้นนำ" "ผู้ทำเงินสูงสุด" "นักปรัชญา" "ผู้จัดพิมพ์นิตยสาร" และ "นักเขียนหนังสือขายดี"


ทำให้บริษัท Matsushita Electric เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก 


ในปี 1987 เขาได้รับรางวัล Grand Cordon of the Order of the Paulownia Flowers


เขียนหนังสือที่ตีพิมพ์แล้ว 44 เล่ม หนึ่งในหนังสือของเขาชื่อว่า "Developing A Road To Peace And Happiness Through Prosperity" 


ขายได้มากกว่าสี่ล้านเล่ม


เป็นนักธุรกิจ นักประดิษฐ์ และนักเขียนชาวญี่ปุ่น ที่ประสบความสำเร็จและเดินทางในสายงานนี้มาอย่าง


ยาวนานและโชคโชน ผ่านทุกสถานการณ์ อย่างยุครุ่งเรืองของเครื่องใช้ไฟฟ้า สินค้าฟุ่มเผือย ยุคพัฒนา


สงคราม เศรษฐกิจตกต่ำ การพัฒนาอุตสาหกรรมที่เปลี่ยนผ่านยุคสมัย 


เป็นนักอุตสาหกรรมชาวญี่ปุ่นผู้ก่อตั้งพานาโซนิค ซึ่งเป็นบริษัทเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น 


มัตสึชิตะได้รับการขนานนามว่าเป็น "เทพเจ้าแห่งการจัดการ" ในญี่ปุ่น


เรียกว่า บริษัท พีเอชพี รีเสิร์ช 


ก่อตั้งโรงเรียนการปกครองและเศรษฐศาสตร์มัตสึชิตะ มุ่งเน้นความพยายามในการฝึกอบรมนักการเมือง


เป็นโรงเรียนการเมืองที่ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2497 ผลิตบุคคลที่มีความสามารถจากทุกสาขาอาชีพ รวมถึงนักการเมือง


ปัญหาปอดเรื้อรังทำให้เขาเสียชีวิตด้วยโรคปอดบวมเมื่อวันที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2532 ขณะมีอายุได้ 94 ปี


น่าสนใจ

✅ Money Mastery มั่งคั่งทั้งชีวิต

✅ โอดะ โนบุนางะ มหาซามูไรแห่งญี่ปุ่น (Oda Nobunaga)

✅ 50 บุคคลผู้เปลี่ยนแปลงโลก

✅ โทกุงาวะ อิเอยาสึ Tokugawa Ieyasu

✅ เซเปียนส์ ประวัติย่อมมนุษยชาติ : Sapiens A Brief History of Humankind





วันอังคารที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2567

พระเจ้าเอ็ดการ์ผู้รักสงบ Edgar the Peaceful

 


พระเจ้าเอ็ดการ์ผู้รักสงบ Edgar the Peaceful


พระเจ้าเอ็ดการ์ผู้รักสงบ Edgar the Peaceful หรือ Edgar the Peaceable


ราว ค.ศ. 943 หรือ ค.ศ. 944 - ค.ศ. 975 พระมหากษัตริย์อังกฤษในราชวงศ์เวสเซกซ์


ปกครองราชอาณาจักรทางตะวันตกเฉียงใต้ของอังกฤษ 


 เป็นกษัตริย์ของอังกฤษตั้งแต่ปี ค.ศ. 959  จนกระทั่งสิ้นพระชนม์ในปี ค.ศ. 975


ขึ้นครองราชย์ของอังกฤษทั้งหมดหลังจากพระเชษฐาสิ้นพระชนม์


ในสมัยของเขา มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในแวดวงศาสนา การปฏิรูปเบเนดิกตินของอังกฤษ 


ซึ่งเขาสนับสนุนอย่างแข็งขัน กลายเป็นพลังทางศาสนาและสังคมที่มีอิทธิพล 


นักประวัติศาสตร์มองว่าการปฏิรูปนี้เป็นความสำเร็จครั้งสำคัญ


และสมัยนี้ยังเจริญรุ่งเรืองทางวรรณกรรมและศิลปะ 


เอ็ดการ์นำระบบการผลิตเหรียญมาตรฐานมาใช้ในช่วงต้นทศวรรษ 970 


เป็นประจำที่ไวกิ้งเข้ามารุกรานอังกฤษ จนเป็นเรื่องที่สร้างความไม่สงบทุกข์ทนให้แก่อังกฤษตลอด


เมื่อเอ็ดการ์ขึ้นสู่อำนาจ การรุกรานของไวกิ้งก็ไม่มีเกิดขึ้นเลย แถมการเมืองภายใน


เรื่องศาสนา และอื่นๆก็สงบเรียบร้อยเป็นอย่างดี นักประวัติศาสตร์ในยุคหลังได้นำเสนอว่า


รัชสมัยของเอ็ดการ์เป็นยุคทองเมื่ออังกฤษปราศจากการโจมตีจากภายนอกและความวุ่นวายภายใน


รัชสมัยของเอ็ดการ์เป็นจุดสูงสุดของวัฒนธรรมแองโกล-แซกซอน ยุคของเอ็ดการ์จึงถูกมองว่า


เป็นยุคแห่งสันติภาพและความเจริญรุ่งเรืองของอังกฤษ


พระเจ้าเอ็ดการ์สิ้นพระชนม์ ตอนมีอายุได้ 31 หรือ 32 ปี ในวันที่ 8 กรกฎาคม 975


เขาถูกฝังที่ Glastonbury Abbey 


น่าสนใจ

✅ Money Mastery มั่งคั่งทั้งชีวิต

✅ บุคคลสำคัญของจีน

✅ 50 บุคคลผู้เปลี่ยนแปลงโลก

✅ เออร์วิน รอมเมล (Erwin Rommel) จิ้งจอกทะเลทราย ชาวเยอรมัน

✅ เซเปียนส์ ประวัติย่อมมนุษยชาติ : Sapiens A Brief History of Humankind






วันจันทร์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2567

ผู้พันแซนเดอส์ ผู้ก่อตั้งร้านไก่ทอด (Colonel Sanders)

 

ผู้พันแซนเดอส์ ผู้ก่อตั้งร้านไก่ทอด (Colonel Sanders)


KFC (ซึ่งมักเรียกกันด้วยชื่อทางประวัติศาสตร์ว่า Kentucky Fried Chicken) ก่อตั้งโดยพันเอก Harland Sanders 


ผู้ประกอบการที่เริ่มต้นขายไก่ทอดจากร้านอาหารริมถนนของเขาในเมืองคอร์บิน รัฐเคนตักกี้ สหรัฐอเมริกา


พันเอก ฮาร์แลนด์ เดวิด แซนเดอส์ Harland David Sanders หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ ผู้พันแซนเดอส์


9 กันยายน ค.ศ. 1890– 16 ธันวาคม ค.ศ. 1980 


คุณปู่ KFC เป็นผู้ประกอบการชาวอเมริกันและเป็นผู้ก่อตั้งเครือข่ายอาหารฟาสต์ฟู้ดนานาชาติ KFC (Kentucky Fried Chicken)


เกิดเมื่อวันที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2433 ในเมืองเฮนรี่วิลล์ รัฐอินเดียน่า


ลาออกจากโรงเรียน แซนเดอร์สทำงานหลายอย่าง เช่น นักดับเพลิง คนขับเรือ 


ตัวแทนประกันภัย และยังรับราชการทหารในคิวบา


อายุ 40 เป็นพ่อครัวทำอาหารอยู่รัฐเคนตักกี้เสิร์ฟอาหารค่ำในบ้านพักของสถานีบริการน้ำมัน


ต่อมาได้ย้ายไปร้านอาหารโมเทล เริ่มทำงานเป็นพ่อครัว ตลอดเก้าปีหลังจากนั้น


เขาได้ปรับปรุงวิธีการปรุงไก่ทอดขาย จนมีชื่อเสียง


ผู้ว่าการรัฐเคนตักกี้ในขณะนั้น รูบี้ ลาฟฟูน มอบตำแหน่ง "พันเอกกิตติมศักดิ์" ให้แซนเดอร์ส


เมื่อพันเอกแซนเดอร์สอายุ 66 ปี เขาต้องขายร้าน เนื่องจากมีการก่อสร้างทางหลวงหมายเลข 75


เขาจึงเดินทางไปทั่วประเทศเพื่อโปรโมตวิธีไก่ทอดของเขา ในปี 1964 ไก่ของเขามีร้านแฟรนไชส์


มากกว่า 600 แห่ง ในปีเดียวกันนั้น แซนเดอร์สได้ขายหุ้นในบริษัทของเขาไปในราคา 2 ล้านดอลลาร์ 


แซนเดอร์สยังคงเป็นสัญลักษณ์ของบริษัทหลังจากขายบริษัท


พันเอกแซนเดอร์สได้รับรางวัล Horatio Alger Award ในปี 1965 และในปี 1976 


พันเอกแซนเดอร์สได้รับการยกย่องให้เป็นคนดังที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดเป็นอันดับสองของโลก


แซนเดอร์สได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวในเดือนมิถุนายน 1980 


และเสียชีวิตด้วยโรคปอดบวมเมื่อวันที่ 16 ธันวาคมของปีเดียวกัน ขณะอายุ 90 ปี


เขาถูกฝังอยู่ที่สุสานเคฟฮิลล์ ในเมืองหลุยส์วิลล์ รัฐเคนตักกี้ ซึ่งเป็นบ้านเกิดของเขา



วันพุธที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2567

ก็อทลีพ ไดม์เลอร์ บิดาแห่งรถมอเตอร์ไซค์คันแรกของโลก (Gottlieb Wilhelm Daimler)

 


ก็อทลีพ ไดม์เลอร์  บิดาแห่งรถมอเตอร์ไซค์คันแรกของโลก (Gottlieb Wilhelm Daimler)


เป็นวิศวกร นักออกแบบอุตสาหกรรม และนักอุตสาหกรรมชาวเยอรมันซึ่งเกิดในชอร์นดอร์ฟ 


(ราชอาณาจักรเวือร์ทเทมแบร์ก ซึ่งเป็นรัฐสหพันธ์ของสมาพันธรัฐเยอรมัน)


 ก็อทลีพ ไดม์เลอร์ จดสิทธิบัตร รถจักรยานยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายใน คันแรกของโลก


17 มีนาคม พ.ศ. 2377 - 6 มีนาคม พ.ศ. 2443


เป็นนักประดิษฐ์ ผู้ประกอบการ และหนึ่งในผู้ประดิษฐ์รถยนต์ชาวเยอรมัน ในปี พ.ศ. 2428 


เขาได้ออกแบบเครื่องยนต์สันดาปภายในและสร้างรถจักรยานยนต์เดมเลอร์


พัฒนารถยนต์ และร่วมกับวิลเฮ็ล์ม ไมบัค ผลิตรถจักรยานยนต์เป็นครั้งแรก


ร่วมกันก่อตั้งบริษัทเดมเลอร์มอเตอร์ต่อมารวมตัวกับบริษัทของคาร์ล เบ็นทซ์ กลายเป็นไดม์เลอร์-เบนซ์


ผู้ผลิตรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ 


ส่งเสริมการพัฒนาแหล่งน้ำมันในรัฐเท็กซัส ประเทศสหรัฐอเมริกา


จดสิทธิบัตรเครื่องยนต์เบนซินสำหรับรถจักรยานยนต์ ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของเครื่องยนต์สันดาปภายในสมัยใหม่


เป็นรถจักรยานยนต์คันแรกของโลก 


ก็อทลีพ ไดม์เลอร์ Gottlieb Daimler ได้รับเลือกเข้าสู่หอเกียรติยศยานยนต์


มีสนามกีฬาที่ตั้งชื่อตามเขาในเมืองสตุ๊ตการ์ท ประเทศเยอรมนี


ได้รับการยกย่องว่าเป็น "บิดาแห่งรถจักรยานยนต์"


ลิ้งที่เกี่ยวข้อง น่าสนใจ

✅ Money Mastery มั่งคั่งทั้งชีวิต

✅ บุคคลสำคัญของจีน

✅ 50 บุคคลผู้เปลี่ยนแปลงโลก

✅ เออร์วิน รอมเมล (Erwin Rommel) จิ้งจอกทะเลทราย ชาวเยอรมัน

✅ เซเปียนส์ ประวัติย่อมมนุษยชาติ : Sapiens A Brief History of Humankind










วันอังคารที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2567

บ็อบบี ร็อบสัน ยอดตำนานกุนซือลูกหนัง Bobby Robson

 


บ็อบบี ร็อบสัน ยอดตำนานกุนซือลูกหนัง Bobby Robson


เซอร์โรเบิร์ต วิลเลียม ร็อบสัน Sir Robert William Robson


18 กุมภาพันธ์ 1933 - 31 กรกฎาคม 2009


เป็นอดีตโค้ชฟุตบอลชาวอังกฤษและเป็นนักฟุตบอลชาวอังกฤษ 


เขาเป็นหนึ่งในผู้จัดการทีมฟุตบอลอังกฤษที่เก่งที่สุดตลอดกาล


เล่นให้ทีมชาติอังกฤษและต่อมาเป็นผู้จัดการทีม และเป็นผู้จัดการทีม


ที่ชนะเลิศถ้วยยูฟ่าคัพกับทีมอิปสวิชทาวน์


ตำแหน่งกองหน้าตัวใน เขาเล่นให้กับสามสโมสร ได้แก่ ฟูแล่ม เวสต์บรอมวิชอัลเบี้ยน 


และแวนคูเวอร์รอยัลส์ในช่วงสั้นๆ


ลงเล่นให้ทีมชาติอังกฤษ 20 นัด ยิงได้ 4 ประตู


เขาประสบความสำเร็จทั้งในฐานะผู้จัดการทีม หลังจากเป็นนักเตะอาชีพ


ผู้จัดการทีมระดับสโมสร โดยคว้าแชมป์ลีกทั้งในเนเธอร์แลนด์และโปรตุเกส 


คว้าถ้วยรางวัลในอังกฤษและสเปน และพาทีมชาติอังกฤษเข้าสู่รอบรองชนะเลิศของฟุตบอลโลกปี 1990


เคยดำรงตำแหน่งผู้จัดการทีมหลายแห่ง ที่เด่นๆและจดจำกันได้คือนิวคาสเซิล บาร์เซโลนาในฤดูกาล 1996–97


พีเอสวี สปอร์ติ้ง ลิสบอน และปอร์โต งานสุดท้ายของเขาคือการเป็นที่ปรึกษาให้กับผู้จัดการทีมชาติไอร์แลนด์


ร็อบสันได้รับการสถาปนาเป็นอัศวินบาเชเลอร์ในปี 2002 


ได้รับการแต่งตั้งเป็นสมาชิกหอเกียรติยศฟุตบอลอังกฤษในปี 2003


เป็นประธานกิตติมศักดิ์ของอิปสวิชทาวน์ ตั้งแต่ปี 1991


คุมทีม 1,446 นัด ชนะ 718 เสมอ 351 แพ้ 377 


เกียรติประวติในฐานะผู้จัดการทีม


อิปสวิช ทาวน์


ยูฟ่าคัพ: 1980–81

เอฟเอ คัพ: 1977–78

เท็กซาโกคัพ: 1972–73


พีเอสวี ไอน์โฮเฟ่น


เอเรดิวิซี: 1990–91, 1991–92

โยฮัน ครัฟฟ์ ชิลด์: 1998


ปอร์โต้


ดิวิชั่น 1: 1994–95, 1995–96

โปรตุเกส คัพ: 1993–94

กันดิโด เด โอลิเวรา ซูเปอร์คัพ: 1994


บาร์เซโลนา


โกปา เดล เรย์ : 1996–97

ซูเปร์โกปา เด เอสปันญ่า: 1996

ยูโรเปียนคัพวินเนอร์สคัพ: 1996–97

นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด


รองแชมป์ยูฟ่าอินเตอร์โตโตคัพ: 2001


อังกฤษ


บริติชโฮมแชมเปี้ยนชิพ: 1982–83

รุส คัพ: 1986, 1988, 1989


ร็อบสันเสียชีวิตลงอย่างสงบในขณะที่มีอายุ 76 ปี ด้วยโรคมะเร็งปอด เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2009


บุคคลสำคัญจากวงการฟุตบอลและการเมืองต่างก็แสดงความอาลัยต่อเขา


เป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่

วันจันทร์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2567

ซูฮาร์โต Suharto นายพลผู้ยิ้มแย้ม ( The Smiling General )

 


ซูฮาร์โต Suharto นายพลผู้ยิ้มแย้ม ( The Smiling General )


ซูฮาร์โต เกิด 8 มิถุนายน พ.ศ. 2464 


ประธานาธิบดีคนที่สองของอินโดนีเซียและเผด็จการทหาร ปกครองประเทศกว่า 31ปี 

ดำรงตำแหน่ง 12 มีนาคม พ.ศ. 2510 – 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2541


ซูฮาร์โต Suharto



เมื่อวันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2508 เกิดรัฐประหารที่ล้มเหลวในประเทศอินโดนีเซีย - เหตุการณ์ 930 

ทหารฝ่ายซ้ายกลุ่มหนึ่งถูกกล่าวหาว่าพยายามยึดอำนาจร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์ หลังจากการรัฐประหาร

ถูกปราบปรามโดยประธานาธิบดีซูการ์โนในขณะนั้น ซูฮาร์โตเป็นผู้นำกองบัญชาการยุทธศาสตร์กองทัพบก

และใช้โอกาสนี้ในการผูกขาดอำนาจซูฮาร์โตตอบโต้ว่าการรัฐประหารเกิดขึ้นโดยพวกพ้องของซูการ์โน

และได้โค่นล้มซูการ์โน่ที่สนับสนุนคอมมิวนิสต์และสนับสนุนโซเวียตลงไป เขายังก่อกระแสต่อต้านจีน

ครั้งใหญ่ทั่วประเทศและยึดอำนาจของซูการ์โน 


ในฐานะประธานาธิบดี ซูฮาร์โตยุติการเผชิญหน้าระหว่างอินโดนีเซีย-มาเลเซีย และกระชับความสัมพันธ์

ระหว่างทั้งสองประเทศให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นโดยการเยือนมาเลเซีย

อำนาจของซูฮาร์โตถึงจุดสูงสุด ในช่วงทศวรรษ 1990 ความเป็นเผด็จการและการทุจริตของรัฐบาลซูฮาร์โต

สร้างความไม่พอใจให้กับประชาชน จนเกิดการจลาจลในเดือนพฤษภาคม 2540 ที่เกิดจากวิกฤตการณ์

ทางการเงินในปี 2540นำไปสู่การลาออกของซูฮาร์โตในเดือนพฤษภาคม 2541 หลังจากการขับไล่ซูฮาร์โต

 เขาถูกดำเนินคดีในข้อหาคอร์รัปชั่นและการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวจีนในระหว่างดำรงตำแหน่ง

ต่อมา เนื่องจากสภาพร่างกายที่ย่ำแย่ของซูฮาร์โตและความคิดเห็นของสาธารณชนที่เพิ่มมากขึ้น

ในอินโดนีเซีย การดำเนินคดีจึงถูกยกเลิกในที่สุด เขาถึงแก่กรรมในปี พ.ศ. 2551


ผลกระทบของการปกครอง 31 ปีของซูฮาร์โตทำให้เกิดความขัดแย้งอย่างมาก ที่นำโดยทหาร

ซูฮาร์โตยังบังคับยึดติมอร์ตะวันออก ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 100,000 คน



ภายใต้ยุคของเขาที่เรียกกันว่า "ยุคระเบียบใหม่" ซูฮาร์โตได้สร้างรัฐบาลที่เข้มแข็ง ซูฮาร์โตได้

สถาปนารัฐบาลแบบรวมศูนย์ ที่นำโดยทหาร และมีอำนาจต่อต้านคอมมิวนิสต์จนได้รับการ

สนับสนุนทางการทูตและเศรษฐกิจจากตะวันตกในช่วงสงครามเย็น


ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่สองและดำรงตำแหน่งยาวนานที่สุดของอินโดนีเซีย

การปกครองแบบเผด็จการ 31 ปีของเขาถือเป็นหนึ่งในการปกครองที่โหดเหี้ยมและทุจริตที่สุดแห่ง

ศตวรรษที่ 20


อินโดนีเซียมีประสบการณ์ด้านอุตสาหกรรม การเติบโตทางเศรษฐกิจในช่วงแรก จนเขาได้รับสมญานาม

ว่า "บิดาแห่งการพัฒนา"


แต่ท้ายที่สุดซูฮาร์โตเป็นหนึ่งในผู้นำที่คอร์รัปชั่นมากที่สุดในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ และสร้างความ

แตกแยกในหมู่ประชาชน


ในด้านการพัฒนาประเทศเขาได้รับการยกย่อง แต่ในด้านการปกครองแบบเผด็จการและทุจริตนั้น 

เขาก็โดนไม่ใช่น้อยเช่นกัน


หลังจากลาออกจากตำแหน่งประธานาธิบดี ซูฮาร์โตต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลหลายครั้ง

ด้วยปัญหาโรคหลายอย่างเช่น หลอดเลือดสมอง หัวใจ และลำไส้ เนื่องด้วยปัญหาสุขภาพทำให้

ไม่สามารถดำเนินคดีลงโทษได้


เมื่อวันที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2551 ซูฮาร์โตถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลเปอร์ตามินาเซ็นทรัล จาการ์ตา 

ด้วยอาการแทรกซ้อนที่เกิดจากสุขภาพไม่ดี รักษาตัวอยู่หลายวันจนวันที่ 27 มกราคม เวลา 13:09 น. 

เขาก็ได้จากไปโดย ครอบครัวของเขายินยอมให้ถอดเครื่องช่วยชีวิตออก

เนื่องจากอาการของเขาไม่ดีขึ้น เนื่องจากมีการติดเชื้อในกระแสเลือดแพร่กระจายไปทั่วร่างกาย






วันพุธที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2567

เนโร จักรพรรดิโรมัน คนบาปของประวัติศาสตร์ NERO

 


เนโร จักรพรรดิโรมัน คนบาปของประวัติศาสตร์ NERO


Nero Claudius Caesar Augustus Germanicus - เนโร เคลาดิอัส ซีซาร์ ออกุสตุส เจอมานิคัส 

 เกิดเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม ค.ศ. 37 เป็นจักรพรรดิโรมันที่เข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 54 

การครองราชย์ของพระองค์ถือเป็นจุดสิ้นสุดของราชวงศ์จูลิโอ-คลอเดียน


เนโร จักรพรรดิโรมัน


รัชสมัยของพระองค์ พระองค์ทรงมุ่งความสนใจไปที่การทูตและการค้า โดยพยายามยกระดับ

บทบาทของโรมในฐานะเมืองหลวงทางวัฒนธรรมของจักรวรรดิด้วยการสร้างและส่งเสริม

โรงละครและการแข่งขันกีฬาต่างๆ โดดเด่นด้วยความสำเร็จทางการฑูตและการทหารในการ

ต่อต้านจักรวรรดิปาร์เธียน


การปราบปรามการจลาจลในบริแทนเนีย (ราวปี ค.ศ. 61) และการปรับปรุงความสัมพันธ์กับจังหวัดกรีก

เนโรรักศิลปะและเป็นกวี นักเขียนบทละคร นักร้อง และนักเล่นฮาร์ป วรรณกรรม ศิลปะ สถาปัตยกรรม 

และสิ่งประดิษฐ์ทางวิศวกรรมต่างๆ จักรวรรดิในสมัยของเนโรก็มีความเจริญรุ่งเรืองทางวรรณกรรมและศิลปะ


ในช่วงเผชิญกับความยากลำบากทางเศรษฐกิจ จากการสงคราม เนโรจึงได้บริจาคเงินเข้าคลัง

ช่วยเหลือชนชั้นล่างอีกด้วย มีโครงการสำคัญหลายอย่างป้องกันโรคมาลาเรีย พยายามขุดคลอง

เดินเรือผ่านคอคอดเมืองโครินธ์

เนโรชื่นชอบการขับรถม้าศึก เล่นพิณและกวีนิพนธ์ แต่งเพลง 



เขามีชื่อเสียงด้านไม่ดีใน หลายอย่างเช่นกัน


- การปกครองแบบเผด็จการ


- ความหรูหราฟุ่มเฟือย ทำให้คลังสมบัติหมดเกลี้ยง


- เป็นที่จดจำจากการลอบสังหารหลายครั้ง หรือประหารชีวิต


- ลอบสังหารบริแทนนิคัสน้องชายต่างมารดาของเขา เนโรถือว่าเขาเป็นภัยคุกคามต่ออำนาจเลยกำจัดทิ้ง

ตามคำบอกเล่าของเนโร บริแทนนิคัสเสียชีวิตด้วยโรคลมบ้าหมู แต่นักประวัติศาสตร์สมัยโบราณทุกคน

กล่าวหาว่าเนโรวางยาพิษ


- การสังหารแม่ของเขาเอง


- ชมชอบสนุกสนานกับการไล่โจมตีเมืองต่างๆที่ต่อต้าน โดยการใช้ความรุนแรง


- โจมตีและกวาดล้างผู้เห็นต่าง ขุนนางชนชั้นปกครองต่างหวาดกลัวเขา


- มีทฤษฎีสมคบคิดที่ว่าเขาอยู่เบื้องหลัง ไฟไหม้ครั้งใหญ่ที่กรุงโรมเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม ค.ศ. 64

วางแผนไฟไหม้ตั้งแต่ต้นรัชสมัยของเนโร เพื่อสร้างเมืองโรมขึ้นใหม่ ตามรสนิยมส่วนตัวของเขาเอง

สร้างวังใหม่ของตัวเองเพราะเขาไม่ชอบความแออัดของกรุงโรมเก่าและแค่อยากจะเขียนบทกวี

เกี่ยวกับการเผากรุงโรมหลังจากผ่านช่วงเวลาแห่งความสง่างามไปแล้วเขาก็สั่งให้คนจุดไฟเผามัน

** ซึ่งเรื่องราวนี้นั้นยังเป็นสิ่งที่ต้องพิสูจน์ความถูกต้องต่อไป ไม่สามารถปักใจเชื่อทั้งหมดได้


- จับกุมชาวคริสต์และทรมานพวกเขาอย่างโหดร้ายในที่สาธารณะ โดยตรึงกางเขน สวมหนังสัตว์

เพื่อให้สุนัขดุร้ายกิน และตอกตรึงไว้กับเสาเพื่อใช้เป็นเทียน จากการถูกกล่าวหาเรื่องไฟไหม้กรุงโรม


- เตะเมียคนที่2 ที่ท้อง จนเมียตาย


- บังคับให้ Marcus Julius Vestinus Atticus (เวสตินัส) สามีของ Statia Messalina ฆ่าตัวตายเพียงเพราะ

อยากได้เมียเขามาเป็นเมียตัวเอง 


- ยึดอำนาจวุฒิสภา มาเป็นของตัวเอง


- เนโรเป็นเผด็จการคนแรกที่กดขี่ศาสนาคริสต์ 



จลาจลในแคว้นยูเดีย เกิดจากความตึงเครียดทางศาสนาที่เพิ่มมากขึ้นระหว่างชาวกรีกและชาวยิว

ชาวโรมันได้ทำลายเมืองเยรูซาเลม ทำลายวิหารของเมืองได้สังหารหมู่ประชากรและขายผู้รอดชีวิต

ในตลาดค้าทาสไปทั่วโลก มันเป็นจุดเริ่มต้นของการพลัดถิ่นหรือการกระจายตัวของชาวยิวในฐานะ

คนพเนจรไร้บ้าน


เนโรเคยถูกสมาชิกวุฒิสภาชาวโรมันตั้งแผนการสมรู้ร่วมคิดเพื่อโค่นล้มเขา สุดท้ายแผนล้มเหลว

ถูกประหารชีวิต และฆ่าตัวตาย ไปหลายคน


ในเดือนมีนาคม Gaius Julius Vindex ไกอุส จูเลียส บินเดซ ผู้ว่าการ Gallia Lugdunensis 

**(เป็นจังหวัดหนึ่งของจักรวรรดิโรมันซึ่งปัจจุบันเป็นประเทศสมัยใหม่ของฝรั่งเศส)

ได้กบฏต่อนโยบายภาษีของ Nero ลูเซียส เวอร์จิเนียส รูฟัส ผู้ว่าการแคว้นเจอร์มาเนียสุพีเรีย 

ได้รับคำสั่งให้ปราบการกบฏของบินเดซ บินเดซได้เรียกร้องให้เซอร์วิอุส ซัลปิเชียส กัลบา 

ผู้ว่าราชการฮิสปาเนีย ทาร์ราโคเนนซิส เข้าร่วมการกบฏและประกาศตนเป็นจักรพรรดิในการต่อต้านเนโร

กองกำลังของ รูฟัส สามารถเอาชนะ บินเดซ ได้อย่างง่ายดาย และฝ่ายหลังได้ฆ่าตัวตาย 

อย่างไรก็ตาม หลังจากเอาชนะกลุ่มกบฏได้ ผูสนับสนุนของเขาก็พยายามปั้นให้เขาเป็นจักรพรรดิ 

แต่เขาไม่ยอมรับ ปฏิเสธที่จะกระทำการต่อเนโร เหล่าขุนศึกทั้งนอกเขตโรม และขุนนางในโรมเอง

ก็ต้องการโค่นเขาลง


วุฒิสภาได้ประกาศให้เขาเป็นศัตรูสาธารณะ เนโรเตรียมตัวสำหรับการฆ่าตัวตาย แต่เขาก็ใจไม่กล้าพอ

อยู่หลายครั้งเขายังไม่สามารถปลิดชีพตนเองได้ แต่กลับบังคับเอปาโฟรดิทัส เลขาส่วนตัวของเขา

ให้ทำภารกิจนี้แทน


เมื่อทหารม้าคนหนึ่งเข้ามาและเห็นว่าเนโรกำลังจะตาย เขาจึงพยายามห้ามเลือด 

แต่ความพยายามที่จะช่วยชีวิตของเนโรไม่ประสบผลสำเร็จ ขาสิ้นพระชนม์ในวันที่ 9 มิถุนายน ค.ศ. 68

ซึ่งเป็นวันครบรอบการเสียชีวิตของภรรยาคนแรกของเขา คลอเดีย ออคตาเวีย ไม่ชัดเจนว่าเนโรปลิด

ชีวิตตนเองหรือไม่


การสวรรคตของเขา ราชวงศ์จูลิโอ-คลอเดียนจึงสิ้นสุดลง


ชาวโรมเฉลิมฉลองการเสียชีวิตของเนโร การเสียชีวิตของเนโร ได้รับการตอบรับอย่างดีในหมู่วุฒิสมาชิก

 ขุนนางชั้นสูง และชนชั้นสูง

แต่ในทางกลับกัน พวกชั้นล่าง พวกทาส ที่ได้รับความช่วยเหลืออย่างดีจากนโยบาย ซื้อใจคนของ

เนโร ทำให้มีความเสียใจอยู่บ้าง

ภาพและรูปปั้นสิ่งแทนตัวเนโร ถูกลบออกไป หรือถูกสร้างให้เป็นตัวแทนหรือสิ่งอื่น แต่กระนั้น 

ศิลปินหลายคนยังคงวาดภาพเหมือนของ เนโร ต่อไปอีกนานหลังจากการสิ้นพระชนม์ของเขา


หลังการตายของเนโร ทำให้เกิดสงครามกลางเมือง จากผู้ที่แย่งชิงอำนาจและรวมไปถึง การเสียชีวิต

ของเขาจุดชนวนให้เกิดสงครามกลางเมืองช่วงสั้น ๆซึ่งเรียกว่า Year of the Four Emperor


การที่มีคนแพร่ความเชื่อว่าเขาไม่ได้ตายจริงจากการฆ่าตัวตาย ทำให้ยังสามารถกลับมาได้อีกครั้ง 

อย่างไรก็ดีประวัติศาสตร์ช่วงของเนโร นั้นยังมีคำถามจากนักประวัติศาสตร์ยุคหลังๆว่า เชื่อได้จริงแค่ไหน

ช่วงที่หายไป การแต่งเพิ่มหรือการที่มีปัญหากับชนชั้นสูงรวมถึงขุนนางยุคนั้นทำให้เรื่องราวของเขา

ดูแย่กว่าความเป็นจริงหรือไม่ รวมถึงการมีเรื่องกับการต่อต้าน คริสตจักร มีผลกับเนื้อหาเรื่องเล่า

เกี่ยวกับเขามากน้อยเพียงใด เรื่องราวของเนโร ยุคหลังก็ยังไม่สามารถปักใจเชื่อได้ทั้งหมดจริงๆซักที

แหล่งข้อมูลร่วมสมัยส่วนใหญ่อธิบายว่าเขาเป็นคนเผด็จการ ตามใจตัวเอง และเสแสร้ง จากภาพลักษณ์

ที่ออกมาในแง่ลบอย่างมากนั้น นักประวัติศาสตร์สมัยใหม่บางคนตั้งคำถามถึงความน่าเชื่อถือของ

แหล่งข้อมูลโบราณเกี่ยวกับการกระทำอันกดขี่ข่มเหงของเนโร มีมากเพียงใด

เมื่อพิจารณาจากความนิยมของเขาในหมู่สามัญชนชาวโรมัน ยังรวมถึงตำนานเนโร ยังไม่ตาย 

เนโรเกิดใหม่ ซึ่งมาอยู่หลังเขาตายไปแล้วทำให้เชื่อได้ว่า คนที่เป็นชนชั้นล่างก็ยังนิยมตัวเขา

อยู่หลายส่วนเช่นกัน 





วันจันทร์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2567

เจมส์ คุก James Cook ผู้ค้นพบออสเตรเลีย และฮาวาย

 


เจมส์ คุก James Cook ผู้ค้นพบออสเตรเลีย และฮาวาย



กัปตันกองทัพเรือเจมส์ คุก เกิด 7 พฤศจิกายน ค.ศ. 1728


เสียชีวิต  14 กุมภาพันธ์  ค.ศ.1779


รู้จักในชื่อกัปตันคุก ราชนาวีอังกฤษ นายทหารเรือ นักเดินเรือ นักสำรวจ และนักทำแผนที่


เขาได้รับคำสั่งให้ล่องเรือไปยังมหาสมุทรแปซิฟิกสามครั้ง


กลายเป็นชาวยุโรปกลุ่มแรกที่ขึ้นฝั่งบนชายฝั่งตะวันออกของออสเตรเลียและหมู่เกาะฮาวาย


สร้างสถิติเป็นครั้งแรกที่เรือของยุโรปแล่นไปทั่วนิวซีแลนด์ 


รับราชการในกองทัพเรืออังกฤษ เขาเข้าร่วมในสงครามเจ็ดปี 


ได้ช่วยทำแผนที่ส่วนใหญ่ของปากแม่น้ำเซนต์ลอว์เรนซ์ระหว่างการบุกโจมตีควิเบก หลังสงคราม


พรสวรรค์ของคุกในการวาดแผนที่ได้รับความโปรดปรานจากกระทรวงทหารเรือและราชสมาคม


จึงมีการแต่งตั้ง ให้เป็นผู้บัญชาการเรือ HMS Endeavour ( เป็นเรือวิจัยของกองทัพเรืออังกฤษ


สั่งให้ไปยังตาฮิติ นิวซีแลนด์ และออสเตรเลียในการเดินทางค้นพบครั้งแรกระหว่างปี 1768 ถึง 1771 ) 


ในปี 1766 ซึ่งเป็นการเดินทางครั้งแรกเพื่อสำรวจมหาสมุทรแปซิฟิกเพื่อปฏิบัติภารกิจทางวิทยาศาสตร์


ในมหาสมุทรแปซิฟิก และเพื่อสำรวจทะเล และดินแดนทางใต้ที่ไม่รู้จัก


คุกล่องเรือไปยังมหาสมุทรแปซิฟิกสามครั้ง โดยเดินทางลึกหลายพันกิโลเมตรไปยังหลายพื้นที่


ของโลกที่ตะวันตกไม่รู้จัก เขาใช้แผนที่ชั่วคราวเพื่อสร้างแผนที่หมู่เกาะแปซิฟิกหลายแห่ง


ระหว่างนิวซีแลนด์และฮาวาย โดยมีความแม่นยำและขนาดที่ไม่มีใครเทียบได้ก่อนหน้านี้


คุกยังได้ตั้งชื่อเกาะและสิ่งของต่างๆ ที่เพิ่งค้นพบอีกมากมาย เกาะและแผนที่แนวชายฝั่งส่วนใหญ่


ที่เขาวาดนั้นปรากฏในแผนที่ตะวันตกและแผนที่ทางทะเลเป็นครั้งแรก 


ในปี พ.ศ. 2322 ในระหว่างการเดินทางครั้งที่สามไปยังมหาสมุทรแปซิฟิก คุกและลูกเรือของเขา


ได้ต่อสู้กับชาวเกาะฮาวายและถูกสังหาร ขณะพยายามลักพาตัว Kalaniʻōpuʻu กษัตริย์แห่งเกาะฮาวาย 



คุกให้ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์การเดินเรือและภูมิศาสตร์ และอิทธิพลของเขาที่มีต่อคนรุ่นต่อ ๆ 


ไปยังคงดำเนินต่อไปจนถึงศตวรรษที่ 20มีการสร้างอนุสาวรีย์และรูปปั้นหลายแห่งเพื่อยกย่อง


ความสำเร็จของคุกความสำเร็จในการสำรวจยังมีอิทธิพลต่อการตั้งอาณานิคมในภูมิภาคแปซิฟิก


โดยประเทศตะวันตกเขามีชื่อเสียงจากการเดินทางไปมหาสมุทรแปซิฟิกสามครั้ง ซึ่งเขาทำแผนที่


ได้แม่นยำมากกว่าใครๆ


เขายังมีเกล็ดเล็กน้อยเกี่ยวกับสารอาหารเวลาที่ต้องออกเดินทางไกลไปกับเรือ ลูกเรือมักมีอาการ


เลือดออกตามไรฟันเขาจึง ให้ลูกเรือรับประทานผลไม้มาก ๆ เพื่อ ป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน


และต่อมาก็พิสูจน์ว่ามันสามารถป้องกันได้จริงอุปสรรคของนักเดินเรือยุคนั้นก็จางหายไป ซึ่งสมัยนั้น


โรคนี้เป็นปัญหามากโดยเฉพาะกับลุกเรือ


วันอาทิตย์ที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2567

หลิวปัง จักรพรรดิแห่งราชวงศ์ฮั่น Liu Bang

 


หลิวปัง จักรพรรดิแห่งราชวงศ์ฮั่น Liu Bang


หลิวปัง จักรพรรดิแห่งราชวงศ์ฮั่น เกิดเมื่อ 256 ปีก่อนคริสตกาล หรือ 247 ปีก่อนคริสตกาล - 1 มิถุนายน 195 ปีก่อนคริสตกาล

มีพระนามจริงว่า จี้ เกิดที่จงหยางลี่ เมืองเป่ยเฟิง (ปัจจุบันคือ เทศมณฑลเฝิง มณฑลเจียงซู สาธารณรัฐประชาชนจีน)

ในช่วงยุคสงครามระหว่างรัฐ เขาเป็นจักรพรรดิผู้ก่อตั้งราชวงศ์ฮั่นและเป็นจักรพรรดิองค์แรก

ที่มีเชื้อสายพลเรือนในประวัติศาสตร์จีน (ภูมิหลังทางครอบครัว)

นักยุทธศาสตร์การทหารและนักการเมืองจากปลายราชวงศ์ฉินและราชวงศ์ฮั่นตอนต้น

เข้าร่วมในปฏิบัติการต่อต้านราชวงศ์ฉินที่นำโดย ฌ้อปาอ๋อง ต่อมาทั้ง2จึงรบกันเพื่อครองแผ่นดิน 

หลังจากการล่มสลายของราชวงศ์ฉิน ซึ่งมีผู้ก่อตั้งแรกเริ่มคือจิ๋นซีฮ่องเต้ เริ่มหลังจากการล่มสลายของราชวงศ์ฉิน

ในสงครามฉู่–ฮั่น รัฐฉู่ตะวันตกมีเซี่ยง อฺวี่ เป็นผู้นำ รัฐฮั่นมีหลิว ปัง  และจบลงด้วยการที่ เซี่ยง อฺวี่ ฆ่าตัวตายริมแม่น้ำอู่เจียง

เป็นสงครามอีกครั้งเพื่อรวมจีนเป็นหนึ่งเดียวหลังจากราชวงศ์ฉินทำลายอาณาจักรทั้งหก

เขาได้สถาปนาตนเองเป็นจักรพรรดิและสถาปนาราชวงศ์ฮั่นขึ้น ราชวงศ์ฮั่นตะวันตก

หลิวปังขึ้นครองราชย์เป็นจักรพรรดิโดยได้รับการสนับสนุนจากราษฎร 

ระองค์ทรงสถาปนาเมืองหลวงในลั่วหยาง (ต่อมาย้ายไปที่ฉางอาน) และแต่งตั้งหลู่จื้อ 

พระชายาอย่างเป็นทางการเป็นจักรพรรดินี และหลิว อิ๋ง (จักรพรรดิฮั่นฮุ่ย) พระราชโอรสเป็นมกุฎราชกุมาร

ในยุคของเขามีการ ลดภาษี ยุบกองทัพและอนุญาตให้ทหารกลับบ้านได้

ประทานอิสรภาพแก่ผู้ที่ขายตัวเป็นทาสเพื่อหลีกเลี่ยงความหิวโหยในช่วงสงคราม

เน้นลัทธิขงจื๊อ ภายใต้รัชสมัยของจักรพรรดิเกาจู ลัทธิขงจื๊อเจริญรุ่งเรือง

ได้แต่งตั้งเจ้าชายและอ๋อง เพื่อช่วยเขาปกครองจักรวรรดิฮั่นและมอบที่ดินให้แต่ละคนปกครอง

มีการประหารข้าราชบริพาร เพราะเป็นกบฏต่อพระองค์อย่าง หาน ซิ่น (ขุนศึกซึ่งรับใช้หลิว ปัง )

และ เผิงเยว่ ขุนพลและขุนนางมีส่วนเกี่ยวข้องกับ สงครามฉู่–ฮั่น  ถูกจับกุมและประหารชีวิตพร้อมครอบครัว

อิงปู้ และ ซังตู่ (Zang Tu) นายพลชาวเหยิน กบฏต่อเขา แต่พ่ายแพ้และถูกสังหาร

มีการรบกับเผ่าซงหนูทางเหนือ เป็นภัยคุกคามมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์ฉิน

ภายหลังมีการ ริเริ่มนโยบายเกี่ยวข้องกับการส่งสตรีผู้สูงศักดิ์ไปแต่งงานกับผู้นำซงหนู 

และจ่ายส่วยประจำปีให้กับซยงหนูเพื่อแลกกับสันติภาพระหว่างจักรวรรดิฮั่นและซยงหนู

จักรพรรดิ ได้รับบาดเจ็บจากลูกธนูหลงทางระหว่างการสงครามกับ อิงปู้

เขาป่วยหนัก ต่อมาอาการของเขาทรุดลงอย่างรวดเร็ว 

ในวันแรกของเดือนที่สี่ (1 มิถุนายน 195 ปีก่อนคริสตกาล) จักรพรรดิสิ้นพระชนม์ในพระราชวัง

เจ้าชายหลิว อิ๋ง ขึ้นครองราชย์เป็นจักรพรรดิ์เสี่ยวฮุยแห่งฮั่น จักรพรรดิฮุยแห่งราชวงศ์ฮั่น











วันอังคารที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2567

ราจิฟ คานธี Rajiv Ratna Gandhi

 


ราจิฟ คานธี Rajiv Ratna Gandhi


บุตรชายคนโตของนางอินทิรา คานธี (อดีตประธานมนตรีอินเดียที่ดำรงตำแหน่งถึง 3 วาระติดต่อกัน) 

กับนายผิโรช คาน เป็นนักการเมืองชาวอินเดียและเป็นหลานชายของอดีตนายกรัฐมนตรีเนห์รู อินทิรา

เขากลายเป็นนายกรัฐมนตรีของอินเดียหลังจากที่แม่ของเขาถูกลอบสังหาร 

ก้าวลงจากตำแหน่งหลังจากพ่ายแพ้การเลือกตั้งใหม่ ถูกลอบสังหารในปี 1991

เดิมทีต้องการเป็นนักบินและไม่มีความสนใจในเรื่องการเมือง จนถึงวันที่ 23 มิถุนายน 1980

สัญชัย คานธี น้องชายของราจิฟเสียชีวิตอย่างกะทันหันในอุบัติเหตุเครื่องบินตก

เดิมทีน้องชายของเขาได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้นำในอนาคตของสภาแห่งชาติอินเดีย

ราจิฟ คานธี อยู่ในลอนดอนในขณะนั้น และเมื่อเขาทราบข่าว เขาก็รีบกลับไปที่เดลีทันที

ในเดือนกุมภาพันธ์ 1981 ราจิฟ คานธี ชนะการเลือกตั้ง เขตเลือกตั้ง และได้เข้าสู่รัฐสภาอินเดีย

อินทิรา คานธีถูกชาวซิกข์ลอบสังหารในปี 1984 ไม่นาน ราจิฟ คานธีก็ได้รับเลือกให้เป็น

นายกรัฐมนตรีคนใหม่โดยพรรคคองเกรส 


สองเดือนต่อมาเขาชนะการเลือกตั้งทั่วไป ชัยชนะครั้งนี้เชื่อกันว่ามีสาเหตุหลักมาจากความเห็นอกเห็นใจ

ของประชาชนต่อการลอบสังหารแม่ของเขา 


เขาได้ปรับปรุงความสัมพันธ์ทางการฑูตของอินเดียกับสหภาพโซเวียตและจีน

ได้รับการยกย่องเป็นผู้นำที่ส่งเสริมการก้าวกระโดดครั้งใหญ่ใน อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ของอินเดีย

ในระหว่างที่เขาดำรงตำแหน่ง


เขาเป็นนายกรัฐมนตรีอินเดียคนที่สองที่เยือนจีนต่อจากปู่ของเขา เนห์รู เขาได้พบกับเติ้ง เสี่ยวผิง 

และช่วยให้ความสัมพันธ์ระหว่างอินเดียและจีน ดีขึ้นมาอย่างมาก

การปฏิรูปอุตสาหกรรมก็ประสบความสำเร็จและนำไปสู่การเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วในอินเดีย

เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 1991 ราจิฟ คานธี ถูกสังหารในเหตุระเบิดฆ่าตัวตายในรัฐทมิฬนาฑู ใกล้เมืองเจนไน  

ขณะหาเสียงเลือกตั้งซ่อม จากเหตุที่เขาเคยเข้าส่งทหารเข้าไปในศรีลังกาเพื่อรักษาข้อตกลงสันติภาพ

ต่อมากองทัพอินเดียได้เคลื่อนเข้ามาและเริ่มต่อสู้กับขบวนการปลดปล่อยทมิฬ Liberation Tigers of Tamil Eelam 

กองโจรและสังหารชาวทมิฬไปจำนวนมาก มือสังหารชาวทมิฬเกรงว่าหากเขาได้รับเลือกเขาจะส่ง

กองทหารอินเดียไปอีกครั้งจึงเกิดเหตุลอบสังหารขึ้น


การเสียชีวิตของเขาปูทางให้พรรคคองเกรสชนะการเลือกตั้งอีกครั้งในปี 1991 โดยอาศัยความเห็นอก

เห็นใจของผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่เกิดจากการเสียชีวิตของคานธี 


ในปี 1998 ศาลอินเดียตัดสินลงโทษคน 26 คนในข้อหาสมรู้ร่วมคิดลอบสังหารคานธี ซึ่งรวมถึงชาวทมิฬ




วันพุธที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2567

อ็อทโทที่ 1 มหาราช Otto the Great (ออตโต)

 


อ็อทโทที่ 1 มหาราช Otto the Great (ออตโต)


ออตโตที่ 1 มหาราช  23 พฤศจิกายน ค.ศ. 912 - 7 พฤษภาคม 973 ในเมมเลเบิน Memleben


จากตระกูลลิอูดอลฟิงเงอร์ (Liudolfinger) คือดยุกแห่งแซกโซนีและกษัตริย์แห่งจักรวรรดิแฟรงก์

ตะวันออกทรงเป็นจักรพรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ตั้งแต่ปี ค.ศ. 962 จนเสด็จสวรรคตในปี ค.ศ. 973

ทรงเป็นพระราชโอรส องค์ใหญ่ในพระเจ้าไฮน์ริชที่ 1กับพระนางมาทิลเดอแห่งริงเงิลไฮม์ (Matilda of Ringelheim.)


    ออตโตได้รับมรดกดัชชีแห่งแซกโซนีและความเป็นกษัตริย์ของชาวเยอรมันหลังจากที่บิดาของเขา

เสียชีวิตในปี 936เขายังคงทำงานของบิดาในการรวมชนเผ่าเยอรมันทั้งหมดให้เป็นอาณาจักรเดียว

ขยายอำนาจของกษัตริย์ออกไปเป็นอย่างมาก  ออตโตได้แต่งตั้งสมาชิกในครอบครัวของเขาในดัชชี

ที่สำคัญที่สุดของราชอาณาจักร ส่งผลให้ดยุคต่างๆ ที่เคยเท่าเทียมกับกษัตริย์มาก่อน กลายเป็น

ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาในอำนาจของพระองค์

ดัชชี duchy * อาณาเขตการปกครองหรือบริเวณที่ปกครองโดยดยุกหรือดัชเชส



ในปี ค.ศ. 946 พระองค์ทรงนำกองทัพเข้าแทรกแซงสงครามกลางเมืองฝรั่งเศส

ออตโตเปลี่ยนแปลงคริสตจักรในเยอรมนีเพื่อเสริมสร้างอำนาจของกษัตริย์และมอบอำนาจให้

นักบวชอยู่ภายใต้การควบคุมส่วนตัวของเขา


ออตโตที่ 1 เป็นหนึ่งในพระมหากษัตริย์กลุ่มแรกที่บุกครองชาวสลาฟ พระองค์ทรงบังคับ

โบเลสลาฟที่ 1 ดยุคแห่งโบฮีเมียให้ยอมจำนน


บุกอิตาลีเป็นครั้งแรก ยึดครองแคว้นลอมบาร์ดี ประกาศตนเป็นกษัตริย์แห่งอิตาลี และแต่งงาน

กับเอเดอเลเด ภรรยาม่ายของโลแธร์ ผู้ปกครองชาวอิตาลี


หลังจากยุติสงครามกลางเมืองในช่วงสั้นๆ ในหมู่ดัชชีที่กบฏ ออตโตเอาชนะพวกแมกยาร์ในยุทธการ

เลชเฟลด์ (Battle of Lechfeld) ในปี ค.ศ. 955


ยุติการรุกรานของฮังการีในยุโรปตะวันตก ยังรวมถึงการกบฏของผู้ยิ่งใหญ่ของจักรวรรดิต่อกษัตริย์ด้วย

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาได้รับชัยชนะเหนือชาวสลาฟในปีเดียวกัน 


เอาชนะกษัตริย์บลูทูธ ฮารัลด์แห่งเดนมาร์กทางตอนเหนือ และบังคับให้เขาเปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์


ชัยชนะเหนือพวกนอกรีต Magyars ทำให้ Otto ได้รับชื่อเสียงในฐานะผู้กอบกู้คริสต์ศาสนจักร

และยึดอำนาจเหนืออาณาจักรไว้


ในปี ค.ศ. 961 ออตโตได้พิชิตอาณาจักรอิตาลี ตามตัวอย่างพิธีราชาภิเษกของชาร์เลอมาญ

ในฐานะ "จักรพรรดิแห่งชาวโรมัน"ที่เคยเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 800 

ออตโตได้รับการสวมมงกุฎจักรพรรดิแบบเดียวกันในปี ค.ศ. 962 โดยสมเด็จพระสันตะปาปาจอห์นที่ 12 

ในกรุงโรม 


ตั้งแต่ปี 966 ถึง 972 ออตโตที่ 1 กำลังทำสงครามกับจักรวรรดิไบแซนไทน์เหนืออิตาลี และต้องจำยอม

 ยอมรับในตำแหน่งจักรพรรดิของพระองค์อย่างเป็นทางการ ทั้งยังยกเธโอฟาโน (Theophanu) 

เจ้าหญิงบาเซนไทน์ให้เป็นเจ้าสาวของของพระองค์ 


ออตโตมีอิทธิพลต่อประวัติศาสตร์ยุโรปยุคกลาง  บุคคลสำคัญ ทรงเป็นบุคคลที่ทรงอิทธิพลที่สุดในยุโรป 

ผลที่ตามมาคือความรุ่งเรืองทางวัฒนธรรมเริ่มต้นขึ้นซึ่งกลายเป็นที่รู้จักในชื่อยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาออตโตเนียน


ออตโตอุปถัมภ์ศิลปะและการเรียนรู้ โดยช่วยสร้างโรงเรียนในอาสนวิหารหลายแห่งซึ่งพัฒนา

จนกลายเป็นศูนย์กลางทางวัฒนธรรมที่มีชีวิตชีวา


ออตโตป่วยหนักเป็นไข้ และหลังจากได้รับศีลระลึกครั้งสุดท้ายก็สิ้นพระชนม์ในวันที่ 7 พฤษภาคม 

พ.ศ. 973 สิริอายุได้ 60 ปี


ออตโตที่ 2 ทรงจัดงานศพอันงดงามเป็นเวลา 30 วัน โดยที่พระราชบิดาของพระองค์ถูกฝังไว้ข้างๆ 

เอ็ดจิธ (Eadgyth) ภรรยาคนแรกของพระองค์ในอาสนวิหารมักเดบูร์ก  Magdeburg Cathedral

ออตโตที่ 1 สิ้นพระชนม์ท่ามกลางบรรยากาศแห่งความเป็นกษัตริย์ที่ทรงพลังอย่างยิ่งในโลกยุคนั้น






วันเสาร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2567

ยูลิสซีส เอส. แกรนต์ Ulysses Simpson Grant

 


ยูลิสซีส เอส. แกรนต์  Ulysses Simpson Grant


เดิมชื่อ Hiram Ulysses Grant ไฮรัม ยูลิสซีส แกรนต์ เกิดเมื่อ พ.ศ. 2412 


เป็นนายทหารและนักการเมืองซึ่งขึ้นเป็นประธานาธิบดีคนที่ 18 ของสหรัฐอเมริกา พ.ศ. 2420 


ก่อตั้งกระทรวงยุติธรรม ส่งเสริมสิทธิพลเมืองอย่างมีประสิทธิภาพ


ปกป้องสิทธิของชาวแอฟริกันอเมริกัน เขายังเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดแห่งกองทัพสหรัฐฯ 


นำกองทัพพันธมิตรชนะสงครามกลางเมืองในปี พ.ศ. 2408 และต่อมารับราชการเป็นรัฐมนตรี


กระทรวงสงครามในช่วงสั้นๆ


โตขึ้นมาในโอไฮโอและมีความสามารถพิเศษด้านขี่ม้า เขาเข้าเรียนที่ West Point Military Academy


เขามีความโดดเด่นในสงครามเม็กซิกันอเมริกัน ในปีพ.ศ. 2391


แกรนท์เกษียณจากกองทัพในปี พ.ศ. 2397


สงครามกลางเมืองปะทุขึ้นในปี พ.ศ. 2404 เขาได้เข้าร่วมกองทัพพันธมิตรและมีชื่อเสียง


หลังจากเข้าร่วมการต่อสู้ที่ได้รับชัยชนะหลายครั้ง 


เขาได้นำกองกำลังเข้าพิชิตยุทธการวิกส์เบิร์กและควบคุมแม่น้ำมิสซิสซิปปี้ หลังจากชนะยุทธการที่แชตทานูกา 


เขาได้รับการเลื่อนตำแหน่งให้เป็นพลโทโดยอับราฮัม ลินคอล์น


ลินคอล์นถูกลอบสังหาร รองประธานาธิบดีแอนดรูว์ จอห์นสัน เข้ามารับตำแหน่งแทน


ซึ่งทำให้แกรนท์เลื่อนตำแหน่งเป็นนายพลแห่งกองทัพบกในปี พ.ศ. 2409


เขาเป็นวีรบุรุษที่น่าตื่นตาที่สุดในสงครามกลางเมืองและได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดี


อย่างเป็นเอกฉันท์จากพรรครีพับลิกัน


แกรนท์บังคับใช้กฎหมายเพื่อปกป้องสิทธิพลเมืองของคนผิวดำที่เพิ่งได้รับอิสรภาพ


ในทำเนียบขาว เขาได้รักษาเสถียรภาพของเศรษฐกิจของประเทศหลังสงคราม


สนับสนุนการฟื้นฟูรัฐสภา ส่งเสริมการให้สัตยาบันการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งที่ 15 


และปราบปรามกลุ่ม Ku Klux Klan คูคลักซ์แคลน ( ชาตินิยมผิวขาว ) อย่างรุนแรง


เขาเสนอชื่อชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกันและชาวยิวให้ดำรงตำแหน่งสำคัญๆ ในรัฐบาลกลาง


ก่อตั้งคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนของสหรัฐอเมริกาชุดแรกในปี พ.ศ. 2414


ส่งเสริมระบบราชการมากกว่าประธานาธิบดีคนก่อนๆ แกรนท์ได้รับเลือกใหม่อย่างง่ายดาย ในสมัยที่ 2 


แกรนท์สนับสนุนการส่งเสริมให้ชาวอินเดียนแดงเข้ากับวัฒนธรรมคนผิวขาว


หลังจากออกจากตำแหน่ง แกรนท์เดินทางไปทั่วโลก รับประทานอาหารร่วมกับสมเด็จพระราชินีวิกตอเรีย 


และพบปะกับบุคคลสำคัญจากหลายประเทศ เขาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนแรกที่เดินทางไปรอบโลก


ในปีพ.ศ. 2422 ประธานาธิบดียูลิสซิส เอส. แกรนท์ เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนแรกที่มาเยือนประเทศไทย


เขาเป็นอดีตประธานาธิบดีในขณะนั้น ในปีพ.ศ. 2423 ในสมัยของรัชกาลที่ 5 


เขาพยายามเสนอชื่อให้พรรครีพับลิกันดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยที่สามไม่สำเร็จ 


ต้องเผชิญกับความยากลำบากทางการเงินอย่างรุนแรงและความทุกข์ทรมานจากโรคมะเร็งลำคอ 


แกรนท์เป็นนายพลสมัยใหม่และผู้นำที่ เชี่ยวชาญกลยุทธ์ นักประวัติศาสตร์สมัยใหม่วิพากษ์วิจารณ์เรื่องอื้อฉาว


ที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งในระหว่างที่เขาดำรงตำแหน่ง แต่ให้ความสนใจมากขึ้นกับความสำเร็จในช่วงแปดปีที่เขาอยู่ในอำนาจ 


เช่น การดำเนินคดีกับ Ku Klux Klan การปกป้องสิทธิมนุษยชนและสิทธิพลเมืองของชาวแอฟริกันอเมริกัน 


คิดค้นนโยบายของชนพื้นเมือง การแก้ไขอย่างสันติ " อลาบามา" คดีเรียกร้อง และการต่อสู้เพื่อการเลือกตั้ง พ.ศ. 2419


แกรนท์ได้รับการยกย่องทั่วภาคเหนือว่าเป็นนายพลที่ "กอบกู้สหภาพ" และชื่อเสียงทางการทหารโดยรวมของเขา


ก็ยังคงอยู่อย่างดี ได้รับชื่อเสียงในระดับชาติจากชัยชนะที่วิกส์เบิร์กและการยอมจำนนที่อัปโพแมตทอกซ์


เขาเป็นนายพลที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นสหภาพหรือสมาพันธรัฐในสงครามกลางเมืองอเมริกา


ในฐานะประธานาธิบดี เขายืนหยัดเพื่อชาวแอฟริกันอเมริกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการต่อสู้กับการปราบปราม


ผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่กระทำโดยกลุ่มคู คลักซ์ แคลน


นิวยอร์กไทมส์ประกาศว่าแกรนท์กำลังจะเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง เมื่อทราบถึงปัญหาทางการเงินของแกรนท์และจูเลีย 


สภาคองเกรสจึงแต่งตั้งเขาขึ้นเป็นนายพลแห่งกองทัพบกโดยได้รับค่าจ้างเกษียณเต็มจำนวน


เขาติดต่อนิตยสาร The Century และเขียนบทความหลายบทความเกี่ยวกับแคมเปญ Civil War


บทความดังกล่าวได้รับการตอบรับอย่างดีจากนักวิจารณ์ 


บรรณาธิการ แนะนำให้แกรนท์เขียนบันทึกความทรงจำ เหมือนกับที่เชอร์แมนและคนอื่นๆ ทำ


นิตยสารเสนอสัญญาหนังสือให้เขาโดยมีค่าลิขสิทธิ์ 10% อย่างไรก็ตาม มาร์ก ทเวน เพื่อนของแกรนท์ 


หนึ่งในไม่กี่คนที่เข้าใจสภาพทางการเงินที่ไม่มั่นคงของแกรนท์ ได้เสนอ 70% ที่ไม่เคยมีมาก่อนแก่เขา


แกรนท์ทำงานอย่างเข้มข้นกับบันทึกความทรงจำที่บ้านของเขาในนิวยอร์กซิตี้ 


เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2428 แกรนท์เขียนบันทึกความทรงจำของเขาเสร็จ บันทึกความทรงจำ


ของแกรนท์กล่าวถึงชีวิตในวัยเด็กและเวลาของเขาในสงครามเม็กซิกัน-อเมริกันในช่วงสั้นๆ 


และรวมถึงเหตุการณ์ในชีวิตของเขาจนถึงสิ้นสุดสงครามกลางเมือง 


บันทึกความทรงจำส่วนตัวของ U. S. Grant ประสบความสำเร็จในเชิงวิพากษ์วิจารณ์และเชิงพาณิชย์


ได้รับการยกย่องอย่างสูงจากสาธารณชน นักประวัติศาสตร์การทหาร และนักวิจารณ์วรรณกรรม


5 วันหลังจากเสร็จสิ้นบันทึกความทรงจำ แกรนท์เสียชีวิตเมื่อเวลา 08:08 น. 


บนภูเขาแมคเกรเกอร์ เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2428 


ประธานาธิบดีโกรเวอร์ คลีฟแลนด์ ได้สั่งให้ไว้ทุกข์ทั่วประเทศเป็นเวลา 30 วัน


แกรนท์ได้รับการยกย่องในสื่อ ไม่ต่างจาก จอร์จ วอชิงตันและอับราฮัม ลินคอล์น


เขาได้รับเครดิตสำหรับการฟื้นฟูและการทูตมากกว่าการประณามการคอร์รัปชั่นในระหว่างที่เขาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี


มีอนุสรณ์สถานหลายแห่งเพื่อเป็นเกียรติแก่แกรนท์ นอกจากสุสานของแกรนท์แล้ว ยังมีอนุสรณ์สถาน Ulysses S. Grant 


ที่เชิงเขาแคปิตอลฮิลล์ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. สร้างขึ้นโดยประติมากร Henry Merwin Srady และสถาปนิก Edward Pearce Casey


โบราณสถานแห่งชาติ Ulysses S. Grant ใกล้เมือง St. Louis และสถานที่อื่นๆ อีกหลายแห่งในรัฐโอไฮโอและอิลลินอยส์เป็นที่


รำลึกถึงชีวิตของ Grant


โบราณสถานแห่งรัฐแกรนท์คอตเทจของสหรัฐอเมริกา ตั้งอยู่บนยอดเขาแมคเกรเกอร์ในวิลตัน รัฐนิวยอร์ก


อนุสรณ์สถานเล็กๆ อยู่ในสวนสาธารณะลินคอล์นในชิคาโกสวนสาธารณะแฟร์เมาท์ในฟิลาเดลเฟีย


Grant Park ในชิคาโก รวมถึงเทศมณฑลหลายแห่งในรัฐทางตะวันตกและแถบมิดเวสต์


รูปปั้นทองสัมฤทธิ์ของแกรนท์โดยประติมากรชาวเดนมาร์ก โยฮันเนส เกเลิร์ต ได้รับการอุทิศที่แกรนท์พาร์ค 


ในเมืองกาเลนา รัฐอิลลินอยส์


ส่วนหนึ่งของพื้นที่ที่เรียกว่าอุทยานแห่งชาติคิงส์แคนยอนในปัจจุบันถูกเรียกว่าอุทยานแห่งชาติทั่วไปแก


ภาพของแกรนท์ปรากฏบนธนบัตรห้าสิบดอลลาร์ของสหรัฐอเมริกาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2456


เหรียญกษาปณ์ Grant Memorial ซึ่งสร้างเสร็จและออกในปี พ.ศ. 2465 เพื่อรำลึกถึงวันครบรอบหนึ่งร้อยปีแห่งการเกิดของแกรนท์


แกรนท์ยังปรากฏบนแสตมป์ของสหรัฐอเมริกาหลายดวง โดยเป็นครั้งแรกที่ออกในปี พ.ศ. 2433 ห้าปีหลังจากการเสียชีวิตของเขา


วันเสาร์ที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2567

สุลต่านเมห์เหม็ดผู้พิชิต เมห์เหม็ดที่ 2 Mehmed the Conqueror

 


สุลต่านเมห์เหม็ดผู้พิชิต เมห์เหม็ดที่ 2 Mehmed the Conqueror


เมห์เหม็ดที่ 2 เกิด 30 มีนาคม ค.ศ. 1432 – 3 พฤษภาคม ค.ศ. 1481  (49 ปี)


เอดีร์แน รัฐสุลต่านออตโตมัน (ตุรกี )


รู้จักกันทั่วไปในชื่อ เมห์เหม็ดผู้พิชิต ขึ้นครองราชย์ 2 รอบ  สิงหาคม ค.ศ. 1444 ถึงกันยายน ค.ศ. 1446


อีกครั้งในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1451 ถึงพฤษภาคม ค.ศ. 1481  


ในรัชสมัยแรกของเมห์เหม็ดที่ 2 พระองค์ทรงเอาชนะสงครามครูเสดที่นำโดยจอห์น ฮุนยาดี John Hunyadi

หลังจากการรุกรานของฮังการีเข้ามาในประเทศของเขาซึ่งฝ่าฝืนเงื่อนไขการพักรบตามสนธิสัญญาเอดีร์เน

และเซเกด


เมื่อเมห์เหม็ดที่ 2 ขึ้นครองบัลลังก์อีกครั้งในปี 1451 เขาได้เสริมกำลังกองทัพเรือออตโตมันและ

เตรียมการที่จะโจมตีกรุงคอนสแตนติโนเปิล


อายุ 21 ปี เขาได้พิชิตกรุงคอนสแตนติโนเปิล และยุติจักรวรรดิไบแซนไทน์

เมห์เหม็ดอ้างตำแหน่งซีซาร์แห่งโรมโดยอาศัยข้อเท็จจริงที่ว่าคอนสแตนติโนเปิลเคยเป็นที่ตั้ง

ของจักรวรรดิโรมันตะวันออกที่ยังหลงเหลืออยู่ได้รับการยอมรับจากพระสังฆราชแห่งคอนสแตนติโนเปิล


เมห์เหม็ดยังคงพิชิตต่อไปในอนาโตเลีย และในยุโรปตะวันออกเฉียงใต้ไปจนถึงบอสเนียทางตะวันตก


พระองค์ทรงสนับสนุนศิลปะและวิทยาศาสตร์ 


ในปี 1481 เมห์เหม็ดได้เดินทัพพร้อมกับกองทัพออตโตมัน แต่เมื่อไปถึงเมืองมอลเทเป (Maltepe)

 อิสตันบูล เขาก็ล้มป่วย หลังจากนั้นไม่กี่วันเขาก็เสียชีวิตในวันที่ 3 พฤษภาคม ค.ศ. 1481 ขณะอายุ

ได้ 49 ปี และถูกฝังไว้ในห้องของเขาใกล้กับมัสยิดฟาติห์


ตามคำบอกเล่าของนักประวัติศาสตร์ มีหลักฐานตามสถานการณ์มากมายที่แสดงว่าเมห์เหม็ดถูกวางยาพิษ 

เป็นไปได้ตามคำสั่งของลูกชายคนโตและผู้สืบทอดของเขา บาเยซิด

ข่าวการตายของเมห์เหม็ดทำให้เกิดความชื่นชมยินดี มีการเฉลิมฉลองอย่างมากในยุโรป


เมื่อสิ้นสุดรัชสมัยของพระองค์ โครงการสร้างใหม่ของพระองค์ได้เปลี่ยนกรุงคอนสแตนติโนเปิล 

(ปัจจุบันคืออิสตันบูล) ให้กลายเป็นเมืองหลวงของจักรวรรดิที่เจริญรุ่งเรือง เขาได้รับการยกย่อง

ให้เป็นวีรบุรุษในตุรกียุคปัจจุบันและโลกมุสลิม


เมห์เหม็ดที่ 2 ได้รับการยอมรับว่าเป็นสุลต่านองค์แรกที่ประมวลกฎหมายอาญาและกฎหมาย

รัฐธรรมนูญ ก่อนสุไลมานผู้ยิ่งใหญ่


การปกครองของเมห์เหม็ดและสงครามหลายครั้งได้ขยายจักรวรรดิออตโตมันให้ครอบคลุม

กรุงคอนสแตนติโนเปิล อาณาจักรตุรกี และดินแดนของเอเชียไมเนอร์ บอสเนีย เซอร์เบีย 

และแอลเบเนีย


เมห์เหม็ดทิ้งชื่อเสียงอันทรงเกียรติทั้งในโลกอิสลามและคริสเตียนไว้เบื้องหลัง 


สะพานฟาติห์สุลต่านเมห์เม็ตในอิสตันบูล (สร้างเสร็จในปี 1988) ซึ่งข้ามช่องแคบบอสฟอรัส 

ได้รับการตั้งชื่อตามเขา 


ชื่อและรูปภาพของเขาปรากฏบนธนบัตร 1,000 ลีราของตุรกีระหว่างปี 1986 ถึง 1992


พิชิตกรุงคอนสแตนติโนเปิลนั้นสำเร็จด้วยน้ำมือของเขา นอกจากนี้ เขายังถูกเรียกในยุโรปว่า 

"แกรนด์เติร์ก"และ “จักรพรรดิแห่งเติร์ก” ความยิ่งใหญ่แห่งความสำเร็จและชัยชนะทางทหา

รของเขาซึ่งเขาทำได้มีความสำคัญของต่อคามยิ่งใหญ่ของมุสลิมเป็นอย่างมาก


ยุคของเมห์เหม็ดมีลักษณะพิเศษคือการผสมผสานระหว่างอารยธรรมอิสลามและคริสเตียน 

หลังจากที่จักรวรรดิออตโตมันได้ซึมซับสถาบันหลายแห่งของจักรวรรดิไบแซนไทน์และพยายามฟื้นฟู

สถาบันบางแห่งและเติมสีสันใหม่ให้กับอิสลาม เมืองหลวงฟื้นขึ้นมาและกลายเป็นหนึ่งในศูนย์กลาง

วัฒนธรรมที่สำคัญที่สุดในโลกอิสลามโดยเฉพาะหลังจากที่สุลต่านสร้างโรงเรียนหลายแห่งที่นั่น 

ห้องสมุด บ้านพักรับรองของผู้แสวงบุญ สนับสนุนให้ชาวมุสลิมย้ายไปที่นั่นเพื่อรับประโยชน์จาก

ข้อได้เปรียบทางการค้าและความรู้ของประชาชน




วันจันทร์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2567

ลา ลูแบร์ la Loubère นักการทูตฝรั่งเศสประจำสยาม

 


ลา ลูแบร์ la Loubère


Simon de la Loubère ซีมง เดอ ลา ลูแบร์


เป็นนักการทูตฝรั่งเศสประจำสยาม (ประเทศไทย) นักเขียน นักคณิตศาสตร์ และกวี

เป็นราชทูตของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศส ได้เดินทางมาประเทศไทยในรัชสมัย

สมเด็จพระนารายณ์มหาราช

Simon de la Loubère ซีมง เดอ ลา ลูแบร์


เป็นกวีและนักการทูตชาวฝรั่งเศส ทูตพิเศษของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ประจำสยาม และเป็น 

"ผู้ก่อตั้งคนที่สอง" ของ Academy of Floral Games 

ได้รับเครดิตในการนำเอกสารที่แนะนำยุโรปให้รู้จักกับดาราศาสตร์ของอินเดีย "วิธีสยาม"

 ในการสร้างสี่เหลี่ยมมหัศจรรย์ รวมถึงคำอธิบายที่เก่าแก่ที่สุดประการหนึ่งของร่มชูชีพ


เกิดเมื่อวันที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2185 ในเมืองตูลูส


เสียชีวิตเมื่อวันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2272 ในเมืองมงเตสกีเยอ-โวลเวสต์



นำทูตไปยังสยาม ในปี พ.ศ. 2230 ประกอบด้วยเรือรบ 5 ลำ มาถึงกรุงเทพฯ ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2230

มีความฝันที่จะเปลี่ยนสมเด็จพระนารายณ์ มาเป็นคาทอลิก 


ลูแบร์เดินทางกลับฝรั่งเศสโดยเรือเกลลาร์ดเมื่อวันที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2231 พร้อมด้วยคณะเยสุอิต 

กาย ทาชาร์ด และสถานทูตสยามที่นำโดยออกขุน ชำนาญ


เมื่อเขากลับมา ลา ลูแบร์ได้เขียนบรรยายถึงการเดินทางของเขาตามที่พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ร้องขอ 

ซึ่งตีพิมพ์ในชื่อ Du Royaume de Siam

มีงานอ้างอิงเกี่ยวกับวัฒนธรรมและอารยธรรมของประเทศเดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 

ไม่ว่าจะเป็นศิลปะการชกมวยหรือการนวด เครื่องแต่งกายและประเพณีของพ่อค้าหรือสตรีในราชสำนัก

ละครหุ่น เขาได้จดบันทึกระหว่างเดินทางมาสยามไว้อย่างละเอียด เขาเป็นชาวตะวันตกคนแรก

ที่รายงานภาษาบาลีซึ่งเป็นภาษาของพุทธศาสนานิกายเถรวาท ซึ่งเขาเป็นคนแรกที่เปิดโดยไม่บิดเบือน 


ลูแบร์ยังได้นำต้นฉบับที่คลุมเครือเกี่ยวกับประเพณีทางดาราศาสตร์ของสยามกลับมาด้วย 


เขาได้นำวิธีการสร้างสี่เหลี่ยมจัตุรัสเป็นวิธีง่ายๆ ที่เรียกว่า "วิธีสยาม" วิธีการนี้ถูกนำไปยังฝรั่งเศสในปี 

พ.ศ. 2231


ร่มชูชีพสยาม เขารายงานในหนังสือของเขา ว่าชายคนหนึ่งจะกระโดดลงมาจากที่สูงพร้อมกับ

ร่มขนาดใหญ่สองคันเพื่อถวายบังคมกษัตริย์สยาม  





วันเสาร์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2567

โกรเวอร์ คลีฟแลนด์ Grover Cleveland เดโมแครตในดงรีพบลิกัน

 



โกรเวอร์ คลีฟแลนด์ Grover Cleveland เดโมแครตในดงรีพบลิกัน


สตีเฟน โกรเวอร์ คลีฟแลนด์ (Stephen Grover Cleveland)  18 มีนาคม 1837 - 24 มิถุนายน 1908


โกรเวอร์ คลีฟแลนด์ Grover Cleveland


เป็นตัวแทนพรรคเดโมแครตเพียงคนเดียวที่ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีในยุคที่อีกฝั่ง

อย่างรีพับลิกันครองการเมืองในช่วงนั้นเพราะเมื่อพรรครีพับลิกันมีความได้เปรียบทางการเมือง

โดยสิ้นเชิง การครอบครองการเมืองอย่างยาวนานระหว่างปี 1860 ถึง 1912 ทำให้รีพับลิกันนั้น

นำหน้าเดโมแครตอยู่ในยุคนั้นมาก


เป็นนักการเมืองชาวอเมริกันที่ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่ 22 และ 24 ของสหรัฐอเมริกา 

ะหว่าง 1885- 1889  และ 1893 - 1897


เขาเป็นประธานาธิบดีคนเดียวในประวัติศาสตร์สหรัฐอเมริกาที่ดำรงตำแหน่งในวาระการดำรง

ตำแหน่งประธานาธิบดีที่ไม่ติดต่อกัน


ช่วงหลายปีก่อนที่เขาจะดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี เขาดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีและ

ผู้ว่าการรัฐนิวยอร์กได้รับชื่อเสียงในฐานะผู้ทำสงครามต่อต้านการทุจริต 


คลีฟแลนด์เป็นคนของพรรคเดโมแครตคนแรกที่ได้รับตำแหน่งประธานาธิบดีหลังสงครามกลางเมือง

เป็นหนึ่งในสองประธานาธิบดีพรรคเดโมแครต อีกคนคือ วูดโรว์ วิลสันในปี 1912 ในยุคที่พรรครีพับลิกัน

ครองตำแหน่งประธานาธิบดีระหว่าง 1869 - 1933


คลีฟแลนด์ได้รับเลือกเป็นนายกเทศมนตรีเมืองบัฟฟาโลในปี  1881


ผู้ว่าการรัฐนิวยอร์กในปี 1882


เขาเป็นผู้นำพรรคบูร์บง เดโมแครต(ourbon Democrat) ซึ่งเป็นขบวนการสนับสนุนธุรกิจที่ต่อต้านการ

เก็บภาษีศุลกากรสูง เงินฟรี ภาวะเงินเฟ้อ จักรวรรดินิยม และเงินอุดหนุนสำหรับธุรกิจ เกษตรกร 

หรือทหารผ่านศึก


การปฏิรูปการเมืองและอนุรักษ์นิยมทางการคลังทำให้เขากลายเป็นสัญลักษณ์สำหรับพรรค

อนุรักษ์นิยมของอเมริกาในยุคนั้น


คลีฟแลนด์ยังได้รับการยกย่องในเรื่องความซื่อสัตย์ การพึ่งพาตนเอง และความมุ่งมั่นต่อหลักการ

ของลัทธิเสรีนิยมคลาสสิกการต่อสู้กับการคอร์รัปชันทางการเมือง การอุปถัมภ์ 


ทำให้กลุ่ม The Mugwumps นักเคลื่อนไหวทางการเมืองของพรรครีพับลิกันในสหรัฐอเมริกา

ซึ่งต่อต้านการทุจริตทางการเมืองอย่างเข้มข้น เปลี่ยนพรรคจากพรรครีพับลิกันโดยสนับสนุน

ผู้สมัครจากพรรคเดโมแครต โกรเวอร์ คลีฟแลนด์ ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 1884 

ซึ่งในที่สุดเขาก็ได้รับชัยชนะ


เขาดำรงตำแหน่งรอบแรก คลีฟแลนด์ได้ปฏิรูปส่วนอื่น ๆ ของรัฐบาล ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง 

ไม่ว่าจะมาจากพรรคไหนคนของใคร ถ้ามีความสามารถก็สรามารถทำงานได้ ทำให้พรรคพวก

จากเดโมแครตเองก็ไม่พอใจอยู่ไม่น้อย 

เขาได้สั่งให้ปรับปรุงกองทัพเรือให้ทันสมัยและยกเลิกสัญญาก่อสร้างซึ่งส่งผลให้มีเรือด้อยคุณภาพ

สั่งให้สอบสวนที่ดินทางตะวันตกที่นักลงทุนทางรถไฟถือครองโดยเงินอุดหนุนจากรัฐบาล โดนการ

ริบที่ดินคือจากกลุ่มทุน


ในสมัยแรกในฐานะประธานาธิบดี คลีฟแลนด์พยายามลดการใช้จ่ายภาครัฐและลดภาษีศุลกากร


การเลือกตั้ง 1888 พ่ายแพ้ต่อแฮร์ริสัน พรรครีพับลิกันเสนอชื่อเบนจามิน แฮร์ริสัน อดีตวุฒิสมาชิก

สหรัฐอเมริกาจากรัฐอินเดียนาเป็นประธานาธิบดี และลีวาย พี. มอร์ตันจากนิวยอร์กเป็นรอง


คลีฟแลนด์ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงในการประชุมประชาธิปไตยในเมืองเซนต์หลุยส์ 

พรรคเดโมแครตได้เลือกอัลเลน จี. เธอร์แมนแห่งโอไฮโอ เป็นผู้สมัครชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดี

คนใหม่ของคลีฟแลนด์ 


พรรครีพับลิกันมีความได้เปรียบในการรณรงค์หาเสียง พรรครีพับลิกันรณรงค์อย่างหนักในประเด็นภาษี


พรรคเดโมแครตในนิวยอร์กยังแตกแยกกันเรื่องผู้สมัครชิงตำแหน่งผู้ว่าการรัฐของเดวิด บี. ฮิลล์ 

ซึ่งทำให้การสนับสนุนของคลีฟแลนด์ในสภาวะที่ไม่แน่นอนนั้นอ่อนแอลง จดหมายจากเอกอัครราชทูต

อังกฤษที่สนับสนุนคลีฟแลนด์ทำให้เกิดเรื่องอื้อฉาวที่ทำให้คะแนนเสียงของคลีฟแลนด์ในนิวยอร์ก

ต้องเสียไปทำให้เขาแพ้เลือกตั้งในปี 1888 (แต่ชนะ Popular Vote) 


ประธานาธิบดีสมัยที่ 2 (1893–1897)


สี่ปีต่อมา คลีฟแลนด์เอาชนะแฮร์ริสันในการเลือกตั้ง และได้รับตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยที่สอง 

อย่างไรก็ตามคลีฟแลนด์ถูก วิกฤตการณ์ทางการเงินที่ไม่ดีและความคิดเห็นที่ขัดแย้งกันของ

คลีฟแลนด์เกี่ยวกับประเด็นทางสังคมหนักมาก ความตื่นตระหนกทางเศรษฐกิจและปัญหาด้านการเงิน

ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้น คลีฟแลนด์และประเทศชาติเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ

 ความตื่นตระหนกรุนแรงขึ้นเนื่องจากการขาดแคลนทองคำอย่างเฉียบพลัน  เขาถูกวิพากษ์วิจารณ์

ถึงวิกฤตเศรษฐกิจร้ายแรงและการสูญเสียการควบคุมของพรรค


คลีฟแลนด์เป็นประธานาธิบดีคนเดียวในประวัติศาสตร์ของสหรัฐอเมริกาที่มีวาระการดำรงตำแหน่ง

ไม่ติดต่อกัน


คลีฟแลนด์เป็นสมาชิกพรรคเดโมแครตเพียงคนเดียวที่ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี

ในยุคการปกครองของพรรครีพับลิกันนาน 52 ปี


สุขภาพของคลีฟแลนด์เสื่อมถอยลงเป็นเวลาหลายปี และในฤดูใบไม้ร่วงปี 1907 เขาล้มป่วยหนัก 

ในปี 1908 เขาป่วยด้วยอาการหัวใจวาย และเสียชีวิตเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน ขณะอายุ 71 ปี ในบ้านพัก

ของเขาในพรินซ์ตัน คำพูดสุดท้ายของเขาคือ "ฉันพยายามอย่างหนักที่จะทำสิ่งที่ถูกต้อง"


เขาถูกฝังอยู่ในสุสานพรินซ์ตันของโบสถ์เพรสไบทีเรียนแนสซอ  

Princeton Cemetery of the Nassau Presbyterian Church.


Grover Cleveland Hall ในเมืองบัฟฟาโล รัฐนิวยอร์ก ตั้งชื่อตามคลีฟแลนด์ คลีฟแลนด์ฮอลล์เป็น

ที่ตั้งของสำนักงานของอธิการบดีวิทยาลัย รองประธาน และหน่วยงานด้านการบริหารและบริการ

นักศึกษาอื่นๆ คลีฟแลนด์เป็นสมาชิกคนหนึ่งของคณะกรรมการชุดแรกของโรงเรียนปกติบัฟฟาโล

ในขณะนั้น


โรงเรียนมัธยมโกรเวอร์คลีฟแลนด์ในบ้านเกิดของเขา คาลด์เวลล์ รัฐนิวเจอร์ซีย์ ได้รับการตั้งชื่อตามเขา


โรงเรียนมัธยมโกรเวอร์คลีฟแลนด์ในบัฟฟาโล นิวยอร์ก และเมืองคลีฟแลนด์ รัฐมิสซิสซิปปี้ 

ภูเขาคลีฟแลนด์ซึ่งเป็นภูเขาไฟในอลาสก้าก็ตั้งชื่อตามเขาเช่นกัน


ในปี 1895 เขากลายเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนแรกที่ถูกถ่ายทำเป็นภาพยนต์


แสตมป์ดวงแรกของสหรัฐฯ เพื่อเป็นเกียรติแก่คลีฟแลนด์ปรากฏในปี 1923


รูปเหมือนของคลีฟแลนด์อยู่บนธนบัตร 1,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ รุ่นปี 1928 และรุ่นปี 1934


เขายังปรากฏในสองสามฉบับแรกของธนบัตรธนาคารกลางสหรัฐมูลค่า 20 ดอลลาร์จากปี 1914


เหรียญ 1 ดอลลาร์ของประธานาธิบดี Grover Cleveland ปี 2012


ในปี 2013 คลีฟแลนด์ได้รับการแต่งตั้งให้เข้าสู่หอเกียรติยศนิวเจอร์ซีย์





วันพฤหัสบดีที่ 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567

เลฟ ยาชิน Lev Yashin แมงมุมดำแห่งโซเวียต

 



เลฟ ยาชิน Lev Yashin แมงมุมดำแห่งโซเวียต


เลฟ อิวาโนวิช ยาชิน 


Lev Ivanovich Yashin


เกิด 22 ตุลาคม พ.ศ. 2472  (1929 )


เสียชีวิต 20 มีนาคม พ.ศ. 2533 (1990) *ก่อนสหภาพโซเวียตล่มสลาย 1 ปี


เลฟ ยาชิน Lev Yashin



เป็นนักฟุตบอลอาชีพชาวโซเวียต


ได้รับการยกย่องจากหลาย ๆ คนว่าเป็นผู้รักษาประตูที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของโลกฟุตบอล


เป็นบุคคลสำคัญของโลกฟุตบอลทั้งในยุคนั้นและเป็นไอดอลแบบอย่างให้ยุคหลัง


เขามีชื่อเสียงในด้านความเป็นนักกีฬา การตัดสินใจในจุดสำคัญเพื่อป้องกันประตู การยืนตำแหน่ง 

และเซฟปฏิกิริยาการป้องกันลูก


เขายังเป็นรองประธานสหพันธ์ฟุตบอลแห่งสหภาพโซเวียตอีกด้วย


ยาชินปฏิวัติตำแหน่งผู้รักษาประตูในแง่ของเป็นผู้สั่งการในเกมรับ ตะโกนออกคำสั่งใส่กองหลัง 

ออกจากเส้นเพื่อสกัดกั้นลูกครอสวิ่งออกไปเผชิญหน้ากับผู้เล่นฝ่ายรุกที่บุกเข้ามา ซึ่งสมัยนั้น

แปลกใหม่เพราะปกตินายประตูจะอยู่เฝ้าเส้นตลอด90นาที ไม่ได้มีบทบาทแบบที่ยาซินทำมากนัก 


เขาสร้างความประทับใจไม่รู้ลืมแก่ผู้ชมทั่วโลกในฟุตบอลโลกปี 1958 ถือเป็นรายการแรกที่

ออกอากาศในระดับนานาชาติ


เขาแต่งกายตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสีดำ จึงได้รับฉายาว่า "แมงมุมดำ" หรือ "เสือดำ" ซึ่งช่วยเพิ่ม

ความนิยมให้กับเขา


ยาชินปรากฏตัวในฟุตบอลโลก 3 สมัยระหว่างปี 1958 ถึง 1970


ในปี 2002 ได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งในทีมในฝันของ FIFA ในประวัติศาสตร์ฟุตบอลโลก


ปี 1994 เขาได้รับเลือกให้ติดทีมตลอดกาลของฟุตบอลโลก


ปี 1998 ได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งในสมาชิกทีมฟุตบอลโลกแห่งศตวรรษที่ 20


ข้อมูลของ FIFA ยาชินเซฟลูกโทษได้มากกว่า 150 ครั้งในฟุตบอลอาชีพ ซึ่งมากกว่าผู้รักษาประตูคนอื่นๆ


เขายังเก็บคลีนชีตได้มากกว่า 270 คลีนชีตในอาชีพของเขา


คว้าเหรียญทองในการแข่งขันฟุตบอลโอลิมปิกปี 1956 และแชมป์ยุโรปปี 1960


ปี 1963 ยาชินได้รับรางวัลบัลลงดอร์ ซึ่งเป็นผู้รักษาประตูเพียงคนเดียวที่เคยได้รับรางวัลนี้


ได้รับการเสนอชื่อให้ติดบัลลงดอร์ดรีมทีมในปี 2020 ซึ่งเป็น 11 ตัวผู้เล่น ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล


ได้รับการโหวตให้เป็นผู้รักษาประตูที่ดีที่สุดแห่งศตวรรษที่ 20 โดย IFFHS (สหพันธ์ประวัติศาสตร์และ

สถิติฟุตบอลนานาชาติ)


ได้รับการเสนอชื่อให้ติด ดรีมทีม ตลอดกาลของ IFFHS ในปี 2021


ได้รับเลือกจากฟรองซ์ฟุตบอลให้เป็นผู้รักษาประตูที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาลในปี 2020


สหพันธ์ฟุตบอลรัสเซียเลือกให้เป็นผู้เล่นที่โดดเด่นที่สุดในรอบ 50 ปีที่ผ่านมา  Golden Player of Russia


เขาเล่นให้ทีมสโมสร Dynamo Moscow ในปี 1950


เป็นผู้รักษาประตูให้กับทีมฮ็อกกี้น้ำแข็งของไดนาโม และของสหภาพโซเวียต


ตั้งแต่ปี 1950 ถึง 1970 ตลอดอาชีพการค้าแข้งเขาเล่นให้แค่ ดินาโม มอสโควทีมเดียวโดยพาทีม

คว้ารางวัลต่างๆ อย่างคว้าแชมป์ฟุตบอลสหภาพโซเวียต 5 สมัย และโซเวียตคัพ 3 สมัย 




เรื่องของทีมชาติ 


ในปี 1954 ยาชินถูกเรียกติดทีมชาติโซเวียต และติดทีมชาติทั้งหมด 78 นัด กับทีมชาติ


พาทีมชาติคว้าถ้วยรางวัลอย่าง โอลิมปิกฤดูร้อน 1956  แชมป์ยุโรปครั้งแรก 1960


เขายังเล่นฟุตบอลโลก 3 สมัยในปี 1958, 1962 และ 1966


เก็บคลีนชีตได้ 4 นัดจาก 12 เกมที่เขาเล่นในฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย



ในปี 1971 ที่มอสโก เขาลงเล่นนัดสุดท้ายให้กับไดนาโมมอสโกเป็นการแข่งขัน FIFA Testimonial 

ของเลฟ ยาชิน จัดขึ้นที่สนามกีฬาเลนินในมอสโก โดยมีแฟนบอลเข้าร่วม 100,000 คน และมีดารา

ฟุตบอลมากมาย รวมทั้งเปเล่   ยูเซบิโอ และฟรันซ์ เบ็คเค่นบาวเออร์ 


* เกมเทสติโมเนียลแมตช์ เป็นเกมส์ที่จัดขึ้นเพื่อให้เกียรติกับนักเตะที่เล่นให้ทีมมาอย่างยาวนานเป็นตำนานสโมสร



หลังจากเลิกเล่นเขาใช้เวลาเกือบ 20 ปีในตำแหน่งบริหารต่างๆ ที่ Dynamo Moscow เขามีรูปปั้น

ที่สนามของทีมด้วย


ในปี 1986 จากเกิดภาวะลิ่มเลือดอุดตัน (thrombophlebitis) ขณะอยู่ในบูดาเปสต์ ยาชินต้องตัดขาข้างหนึ่งออก


ในปี 1990 เขาเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร เขาได้รับพิธีศพของรัฐในฐานะ

ปรมาจารย์ด้านกีฬาแห่งสหภาพโซเวียต




วันอาทิตย์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567

ออปเพนไฮเมอร์ บิดาของระเบิดปรมาณู Oppenheimer

 


ออปเพนไฮเมอร์ บิดาของระเบิดปรมาณู  Oppenheimer


เจ. โรเบิร์ต ออพเพนไฮเมอร์ Julius Robert Oppenheimer


เกิด 22 เมษายน พ.ศ. 2447  


เสียชีวิต 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2510

Oppenheimer ออปเพนไฮเมอร์


เป็นนักฟิสิกส์เชิงทฤษฎีชาวอเมริกัน เขาเป็นผู้อำนวยการห้องปฏิบัติการลอสอลามอสของโครงการ

แมนฮัตตัน (Manhattan Project's Los Alamos Laboratory) ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง และมัก

ถูกเรียกว่า "บิดาแห่งระเบิดปรมาณู" นั่นหมายถึงเขาเป็นบุคคลสำคัญ ที่มีส่วนในอาวุธนิวเคลียร์ 

และจบสงครามโลก ที่ญี่ปุ่น


ออพเพนไฮเมอร์เกิดในนิวยอร์กซิตี้ สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีสาขาเคมีจากมหาวิทยาลัย

ฮาร์วาร์ดในปี 2468


ปริญญาเอกสาขาฟิสิกส์จากมหาวิทยาลัยเกิททิงเกนในประเทศเยอรมนีในปี 2470 (University of

 Göttingen)


ได้เข้าร่วมภาควิชาฟิสิกส์ที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์ ซึ่งเขาได้เป็นศาสตราจารย์ มีส่วนสำคัญ

ในวิชาฟิสิกส์เชิงทฤษฎี


สำเร็จในกลศาสตร์ควอนตัมและฟิสิกส์นิวเคลียร์ เช่น บอร์น-ออพเพนไฮเมอร์ 

**ในเคมีควอนตัมและฟิสิกส์โมเลกุล การประมาณแบบ Born–Oppenheimer (BO) เป็นการประมาณ

ทางคณิตศาสตร์ที่รู้จักกันดีที่สุดในด้านพลศาสตร์ของโมเลกุล**


การประมาณฟังก์ชันคลื่นโมเลกุล งานเกี่ยวกับทฤษฎีของอิเล็กตรอนและโพซิตรอน กระบวนการ

ออพเพนไฮเมอร์-ฟิลลิปส์ในนิวเคลียร์ฟิวชัน


งานแรกเริ่มเกี่ยวกับอุโมงค์ควอนตัม เขายังมีส่วนร่วมในทฤษฎีดาวนิวตรอนและหลุมดำ ทฤษฎี

สนามควอนตัม และปฏิสัมพันธ์ของรังสีคอสมิกร่วมกับนักเรียนของเขาอีกด้วย



ในปี พ.ศ. 2485 ออพเพนไฮเมอร์ได้รับคัดเลือกให้ทำงานในโครงการแมนฮัตตัน


ในปี พ.ศ. 2486 เขาได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้อำนวยการห้องปฏิบัติการลอส อลามอส ของโครงการ

ในนิวเม็กซิโก


ได้รับมอบหมายให้พัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ชิ้นแรก ความสำเร็จของโครงการ เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2488 


เขาเข้าร่วมการทดสอบระเบิดปรมาณูครั้งแรกที่ชื่อว่า Trinity 


ซึ่งในที่สุดก็พัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ตัวแรกที่ใช้ในการทิ้งระเบิดฮิโรชิมาและนางาซากิ ดังนั้น เขาจึงเป็น

ที่รู้จักในนาม "บิดาแห่งระเบิดปรมาณู"


ในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2488 มีการใช้อาวุธดังกล่าวกับญี่ปุ่นในการทิ้งระเบิดที่ฮิโรชิมาและนางาซากิ 

ซึ่งเป็นการใช้อาวุธนิวเคลียร์เพียงครั้งเดียวในการสู้รบ


หลังสงคราม ออพเพนไฮเมอร์กลายเป็นประธานสถาบันเพื่อการศึกษาขั้นสูงในเมืองพรินซ์ตัน 

รัฐนิวเจอร์ซีย์ในปี พ.ศ. 2490


ได้รับแต่งตั้งให้เป็นประธานคณะกรรมการที่ปรึกษาทั่วไปของคณะกรรมาธิการพลังงานปรมาณู

ของสหรัฐอเมริกา


เขาใช้สถานะนี้เพื่อล็อบบี้ประชาคมระหว่างประเทศเพื่อควบคุมเทคโนโลยีนิวเคลียร์ ป้องกันการ

แพร่กระจายของนิวเคลียร์และหลีกเลี่ยงการแข่งขันด้านอาวุธนิวเคลียร์ระหว่างสหรัฐอเมริกา

และสหภาพโซเวียต 


เขายังคัดค้านการส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาระเบิดไฮโดรเจนของรัฐบาลสหรัฐฯ


การคบหาสมาคมในอดีตของเขากับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งสหรัฐอเมริกาท้ายที่สุดนำไปสู่การเพิกถอน

การกวาดล้างด้านความมั่นคงในปี 1954 (พุทธศักราช 2497) ยุติการเข้าถึงความลับด้านปรมาณูของ

รัฐบาล เขาไม่สามารถมีอิทธิพลต่อการเมืองโดยตรงอีกต่อไป อย่างไรก็ตาม ออพเพนไฮเมอร์ยังคง

บรรยาย เขียน และศึกษาฟิสิกส์ต่อไป 


ในปี 1963 (พุทธศักราช 2506) เขาได้รับรางวัล Enrico Fermi Award เป็นรางวัลทางวิทยาศาสตร์

ที่ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกามอบให้ รางวัลนี้มอบให้เพื่อเป็นเกียรติแก่นักวิทยาศาสตร์ที่มี

ชื่อเสียงระดับนานาชาติสำหรับความสำเร็จตลอดชีวิตในการพัฒนา การใช้ หรือการผลิตพลังงาน 

ก่อตั้งขึ้นในปี 1956 (พุทธศักราช 2499) โดยกระทรวงพลังงานของสหรัฐอเมริกา เพื่อเป็นอนุสรณ์

ของนักฟิสิกส์ชาวอิตาลี เอ็นริโก แฟร์มี และผลงานของเขาในการพัฒนาพลังงานนิวเคลียร์


พ.ศ. 2510 เขาเสียชีวิตในอีกสี่ปีต่อมาด้วยโรคมะเร็งลำคอ


ออพเพนไฮเมอร์ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งลำคอในปลายปี พ.ศ. 2508 หลังจากการผ่าตัดที่ไม่

สามารถสรุปผลได้ เขาได้รับการรักษาด้วยรังสี และเคมีบำบัดไม่ประสบผลสำเร็จในช่วงปลาย 

พ.ศ. 2509 เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2510 เขาเสียชีวิตขณะนอนหลับอยู่ที่บ้าน ในพรินซ์ตัน อายุ 62 ปี



วันศุกร์ที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567

วิลเลียม เฮนรี แฮร์ริสัน Harrison ปธน.ตำแหน่งสั้นที่สุดของสหรัฐ

 



วิลเลียม เฮนรี แฮร์ริสัน Harrison ปธน.ตำแหน่งสั้นที่สุดของสหรัฐ


วิลเลียม เฮนรี แฮร์ริสัน  William Henry Harrison


9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2316 - 4 เมษายน พ.ศ. 2384


วิลเลียม เฮนรี แฮร์ริสัน


เป็นนายทหารและนักการเมืองชาวอเมริกัน เขาเป็นประธานาธิบดีคนที่ 9 ของสหรัฐอเมริกา ในปี พ.ศ. 2384


ถึงแก่กรรม จากการเจ็บป่วย เขาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนแรกที่ถึงแก่อสัญกรรมในตำแหน่ง


เป็นประธานาธิบดีที่ดำรงตำแหน่งสั้นที่สุดเพียง 32 วัน


สาเหตุการเสียชีวิตของแฮร์ริสันยังคงเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ แต่อาจเป็นไทฟอยด์ ปอดบวม หรือไข้รากสาดเทียม 


การเสียชีวิตของแฮร์ริสันทำให้เกิดวิกฤติทางรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับการสืบทอดตำแหน่งประธานาธิบดีในช่วงสั้นๆ 


เนื่องจากรัฐธรรมนูญของสหรัฐอเมริกาในขณะนั้นไม่ได้กำหนดไว้อย่างชัดเจนว่ารองประธานาธิบดี 


จอห์น เทย์เลอร์ จะขึ้นรับตำแหน่งประธานาธิบดีต่อหรือไม่ หรือเพียงปฏิบัติหน้าที่ของตนโดยทำหน้าที่รักษาการเท่านั้น


เทย์เลอร์อ้างว่ารัฐธรรมนูญอนุญาตทำให้เขาประสบความสำเร็จขึ้นเป็น ปธน. 


การสาบานตนของเขาได้สร้างแบบอย่างที่สำคัญสำหรับการโอนอำนาจประธานาธิบดีในสหรัฐอเมริกาอย่างเป็นระเบียบ


โดยยืนยันว่าผู้สืบทอดมีสิทธิ์ที่จะดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีให้ครบวาระและใช้อำนาจทั้งหมด


แฮร์ริสันสาบานตนเข้ารับตำแหน่งในวัย 68 ปี สร้างสถิติใหม่ให้กับประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่อายุมากที่สุด 


( ก่อนที่จะถูกโรนัลด์ เรแกน วัย 69 ปี ทำลายสถิติในปี 1981และ ไบเดน จะมาทำลายต่อที่ 78 ปี )


ระยะเวลาของแฮร์ริสันในฐานะประธานาธิบดีนั้นสั้นมาก จนไม่มีประเด็นให้พูดถึงมากนักในแง่การทำงาน


พ่อของเขาเป็นชาวไร่ซึ่งเป็นตัวแทนของสภาคองเกรสภาคพื้นทวีปตั้งแต่ปี พ.ศ. 2317 ถึง พ.ศ. 2320


และลงนามในปฏิญญาอิสรภาพ ในช่วงสงครามปฏิวัติอเมริกา


แฮร์ริสันเริ่มศึกษาที่บ้านจนกระทั่งเขาเข้าเรียนที่วิทยาลัยแฮมป์เดน-ซิดนีย์ ซึ่งเป็นสถาบันเพรสไบทีเรียนในรัฐเวอร์จิเนีย 


เมื่ออายุ 14 ปี เขาได้รับการศึกษาแบบคลาสสิกที่นี่เป็นเวลา 3 ปี โดยมีหลักสูตรต่างๆ เช่น ละติน กรีก ฝรั่งเศส ตรรกะ และการอภิปราย


ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2334 แฮร์ริสันอยู่ที่บ้านของโรเบิร์ต มอร์ริส บอร์ดดิ้ง และเข้ามหาวิทยาลัยแห่ง เพนซิลเวเนีย 


ซึ่งเขาศึกษาด้านการแพทย์จากแพทย์สองคน ได้แก่ เบนจามิน รัช และวิลเลียม ชิปเพน ซีเนียร์


พ่อของเขาเสียชีวิตได้ไม่นาน วิลเลียมอายุเพียง 18 ปี และมอร์ริสกลายเป็นผู้ปกครองของเขา


ทางด้านการเงินของพวกเขานั้นขาดแคลนจึงไม่ได้รับการสนับสนุนให้เรียนต่อ


เขาจึง ตัดสินใจเลิกเรียนแพทย์และอุทิศตนเพื่ออาชีพทหาร


เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2334 แฮร์ริสันซึ่งอายุเพียง 18 ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นร้อยโทในกรมทหารราบที่ 1 


เขาถูกส่งไปยังป้อมวอชิงตันเป็นครั้งแรก และเข้าร่วมในสงคราม Northwest Indian War ร่วมกับกองทัพ


(เป็นความขัดแย้งทางอาวุธเพื่อควบคุมดินแดนทางตะวันตกเฉียงเหนือที่ต่อสู้ระหว่างสหรัฐอเมริกาและกลุ่มประเทศชนพื้นเมือง)


หลังจากที่กองทัพแห่งตะวันตกประสบความพ่ายแพ้อย่างหายนะภายใต้การนำของอาเธอร์ เซนต์ แคลร์


แฮร์ริสันได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นร้อยโทเมื่อแอนโธนี เวย์นเข้ารับตำแหน่งในปี พ.ศ. 2335


ในปี พ.ศ. 2336 เขากลายเป็นผู้ช่วยของเวย์น ได้รับโอกาสการเรียนรู้วิธีสั่งการกองทัพในแนวหน้า


เขายังเข้าร่วมในยุทธการที่ลูไจซึ่งได้รับคำสั่งจากเวย์นเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2337 


การรบจบลงด้วยชัยชนะอันยิ่งใหญ่สำหรับ สหรัฐอเมริกาและเป็นจุดเริ่มต้นของ Northwest Indian ช่วงสุดท้าย


ทั้งสองฝ่ายลงนามในสนธิสัญญากรีนวิลล์ ในปี พ.ศ. 2338 แฮร์ริสันยังอยู่ในสนธิสัญญาในฐานะพยาน


สหภาพอินเดียยกที่ดินบางส่วนให้กับรัฐบาลกลางโดยอนุญาตให้ชาวอเมริกัน 


หลังจากที่แม่ของเขาเสียชีวิตในปี พ.ศ. 2336 


ฮร์ริสันได้รับมรดกส่วนหนึ่งของครอบครัวในรัฐเวอร์จิเนีย ซึ่งรวมถึงที่ดินประมาณ 12 ตารางกิโลเมตรและทาสจำนวนมาก


เขาเลือกที่จะรับราชการในกองทัพต่อไปและขายที่ดินให้กับพี่ชายของเขา


พ.ศ. 2340 ในเดือนพฤษภาคม แฮร์ริสันได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นกัปตันเรือและเกษียณอายุในวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2341


ในปี พ.ศ. 2359 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จอห์น แมคลีน แห่งเขตรัฐสภาที่ 1 แห่งโอไฮโอ ลาออก 


แฮร์ริสันได้รับเลือกให้รับตำแหน่งต่อจากเขา โดยดำรงตำแหน่งตั้งแต่วันที่ 8 ตุลาคม ถึง มีนาคม พ.ศ. 2362


ในปี พ.ศ. 2360 เขาปฏิเสธคำเชิญของประธานาธิบดีเจมส์ มอนโร ให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงสงคราม


เขาได้รับเลือกเข้าสู่วุฒิสภาโอไฮโอในปี พ.ศ. 2362 และดำรงตำแหน่งจนถึงปี พ.ศ. 2364


ระหว่างนั้นเขาลงสมัครรับตำแหน่งผู้ว่าการรัฐโอไฮโอไม่สำเร็จในปี พ.ศ. 2363


ในปีพ.ศ. 2365 เขาลงสมัครรับตำแหน่งสภาผู้แทนราษฎรของรัฐบาลกลางอีกครั้ง แต่แพ้เจมส์ ดับเบิลยู. กาซเลย์ด้วยคะแนนเสียง 500 เสียง


ในปี พ.ศ. 2367 แฮร์ริสันได้รับเลือกเข้าสู่วุฒิสภาสหรัฐอเมริกา และดำรงตำแหน่งจนถึงวันที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2371


แฮร์ริสันยังเป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้งประธานาธิบดีของรัฐโอไฮโอในปี พ.ศ. 2363 และ พ.ศ. 2367 โดยสนับสนุน James Monroe และ Henry Clay


ในปีพ.ศ. 2371 ประธานาธิบดีจอห์น ควินซี อดัมส์ ได้แต่งตั้งแฮร์ริสันเป็นรัฐมนตรีผู้มีอำนาจเต็มของกราน โคลัมเบีย (สาธารณรัฐโคลอมเบีย)


** ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ทางตอนเหนือของอเมริกาใต้และตอนใต้ของอเมริกากลาง รวมดินแดนของโคลอมเบีย เอกวาดอร์ ปานามา และเวเนซุเอลาในปัจจุบัน


บางส่วนของภาคเหนือของเปรูและภาคตะวันตกเฉียงเหนือของบราซิล 


มาถึงโบโกตาเมื่อวันที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2371 และดำรงตำแหน่งจนถึงวันที่ 8 มีนาคมของปีถัดไป


สถานการณ์ในโคลอมเบียเลวร้ายมาก ประเทศกำลังจวนจะเกิดอนาธิปไตย ซิมอน โบลิบาร์ เคลื่อนไหวเพื่อเอกราช


มีแนวโน้มที่จะกลายเป็นผู้มีอำนาจทางทหาร เขาเขียนถึงโบลิวาร์ว่า "รัฐบาลที่เสรีที่สุดคือผู้แข็งแกร่งที่สุด" 


และเรียกร้องให้อีกฝ่ายสนับสนุนการพัฒนาประชาธิปไตย โบลิวาร์กล่าวในการตอบของเขาว่า 


"ดูเหมือนว่าพระเจ้าถูกกำหนดให้ปล่อยให้สหรัฐฯ ทรมานทวีปอเมริกาในนามของเสรีภาพ" 


ประโยคนี้ทำให้โบลิวาร์มีชื่อเสียงในประเทศแถบละตินอเมริกา


ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2372 แอนดรูว์ แจ็กสันเรียกแฮร์ริสันกลับมาหลังจากเข้ารับตำแหน่ง และโธมัส แพทริค มัวร์รับช่วงต่อจากเขา


แฮร์ริสันกลับไปใช้ชีวิตพลเรือนในนอร์ธเบนด์ โดยรับราชการในประเทศมาเกือบสี่สิบปี 


ปี พ.ศ. 2379 เขายังลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในฐานะผู้สมัครจากพรรควิกไม่สำเร็จ


เขาดำรงตำแหน่งเสมียนศาลแฮมิลตันเคาน์ตี้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2379 ถึง พ.ศ. 2383


จนกระทั่งเขาชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี พ.ศ. 2383


ในปีพ.ศ. 2383 แฮร์ริสันได้รับเลือกอีกครั้งจากพรรควิก ให้ลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดี ต่อสู้กับ แวน บูเรน อีกครั้ง


การเลือกตั้งเน้นย้ำถึงอาชีพทหารของแฮร์ริสันและความอ่อนแอทางเศรษฐกิจที่เกิดจากความตื่นตระหนกในปี พ.ศ. 2380


วิกส์เน้นย้ำถึงอาชีพทหารของแฮร์ริสัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งความกล้าหาญของเขาในยุทธการที่ทิปเปคานู


ในที่สุดแฮร์ริสันก็ได้รับชัยชนะด้วย คะแนนเสียงจากการเลือกตั้ง 234 เสียงเหนือประธานาธิบดีแวน บูเรน ซึ่งได้รับคะแนนเสียงเพียง 60 เสียง


แฮร์ริสันล้มป่วยเมื่อวันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2384 โดยมีอาการคล้ายไข้หวัด แต่ค่อยๆ แย่ลงในสองวันถัดมา


การวินิจฉัยและการรักษาของแพทย์เห็นได้ชัดว่าไม่มีผลใดๆ แพทย์วินิจฉัยว่าเขาเป็นโรคปอดบวมโดยเฉพาะบริเวณปอดส่วนล่างขวา


ในตอนแรกทำเนียบขาวไม่ได้ประกาศอาการของประธานาธิบดีอย่างเป็นทางการ 


ซึ่งก่อให้เกิดการคาดเดาต่างๆนานา หลายคนกลัวว่าเขาจะไม่อยู่ในสายตาของสาธารณชนเป็นระยะเวลานาน


ภายในสิ้นเดือนมีนาคม ผู้คนจำนวนมากมารวมตัวกันและเฝ้าอยู่นอกทำเนียบขาว เพื่อรอข่าวล่าสุดเกี่ยวกับอาการของประธานาธิบดี


เมื่อวันที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2384 วิลเลียม เฮนรี แฮร์ริสัน ถึงแก่กรรมหลังจากป่วยเป็นเวลาเก้าวัน สิริอายุได้ 68 ปี


เขาเป็นประธานาธิบดีคนแรกของสหรัฐอเมริกาที่ถึงแก่อสัญกรรมในตำแหน่งและเขาดำรงตำแหน่งได้เพียงเดือนเดียวเท่านั้น


หลังจากการเสียชีวิตของประธานาธิบดีมีช่วงไว้ทุกข์ 30 วัน


ทำเนียบขาวก็จัดพิธีต่างๆ ในที่สาธารณะตามแนวทางปฏิบัติงานศพของราชวงศ์ยุโรป


มีการจัดพิธีรำลึกที่ปีกตะวันออกของทำเนียบขาวซึ่งเปิดให้เฉพาะผู้ได้รับเชิญเท่านั้น


โลงศพของแฮร์ริสันถูกส่งไปยังสุสาน Congressional Cemetery (สุสานรัฐสภา มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า Washington Parish Burial Ground เป็นสุสานเก่าแก่)


ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2384 ศพของแฮร์ริสันถูกส่งไปยังนอร์ธเบนด์โดยรถไฟและเรือ จากนั้นฝังไว้ในวันที่ 7 กรกฎาคม ในสุสานของครอบครัว


บนยอดเขาเนโบ ฮิลล์ ซึ่งมองเห็นแม่น้ำโอไฮโอ และปัจจุบันคือ สุสานแห่งรัฐวิลเลียม เฮนรี แฮร์ริสัน


บทความที่เกี่ยวข้อง

จอร์จ วอชิงตัน 

อับราฮัม ลินคอล์น

จอห์น เอฟ. เคนเนดี้

แฟรงคลิน ดี. รูสเวลท์

แฮร์รี่ เอส. ทรูแมน

โทมัส เจฟเฟอร์สัน

เป็นบุคคลสำคัญ ประธานาธิบดีสหรัฐ ก่อนหน้านี้


วิลเลียม เฮนรี แฮร์ริสัน,William Henry Harrison,ประธานาธิบดี,สหรัฐอเมริกา,




วันศุกร์ที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567

เบอร์ทรันด์ รัสเซลล์ Bertrand Russell บิดาแห่งตรรกวิทยา

 


เบอร์ทรันด์ รัสเซลล์ Bertrand Russell บิดาแห่งตรรกวิทยา


Bertrand Arthur William Russell, 3rd Earl Russell


เบอร์ทรันด์ อาร์เทอร์ วิลเลียม รัสเซลล์ เอิร์ลรัสเซลล์ที่ 3 


เกิด 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2415 ชาวบริเตนใหญ่ สหราชอาณาจักร


เบอร์ทรันด์ รัสเซลล์ Bertrand Russell



เป็นนักคณิตศาสตร์ นักปรัชญา และปัญญาชนชาวอังกฤษ เขามีอิทธิพลอย่างมากต่อคณิตศาสตร์ 

ตรรกะ ทฤษฎีเซต(Set theory) และปรัชญาการวิเคราะห์ในด้านต่างๆ

Set theory * สาขาหนึ่งของคณิตศาสตร์ 


นักประวัติศาสตร์ และนักตรรกศาสตร์ที่มีอิทธิพลมาก บุคคลสำคัญที่สุดคนหนึ่งซึ่งอาศัยอยู่

ในคริสต์ศตวรรษที่ 20 ศตวรรษ 


เขาเป็นหนึ่งในนักตรรกวิทยาที่โดดเด่นที่สุดในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 และเป็นผู้ก่อตั้งปรัชญาการ

วิเคราะห์ ร่วมกับ Gottlob Frege


รัสเซลล์ได้รับความเคารพจากผู้คนนับไม่ถ้วนในฐานะศาสดาพยากรณ์แห่งชีวิตที่มีเหตุผลและ

ความคิดสร้างสรรค์จุดยืนของเขาในหลายประเด็นยังเป็นที่ถกเถียงกัน รัสเซลล์เป็นผู้รักสงบและ

สนับสนุนการต่อต้านจักรวรรดินิยม


รัสเซลล์เป็นเป็นหนึ่งในผู้นำการ "ปฏิวัติต่อต้านลัทธิอุดมคติ" ของอังกฤษ 


ผู้เขียนตำราคลาสสิกทางคณิตศาสตร์ รัสเซลล์ร่วมกับอดีตอาจารย์ของเขา เอ. เอ็น. ไวท์เฮด 

เขียน Principia Mathematica ซึ่งเป็นเหตุการณ์สำคัญในการพัฒนาตรรกะคลาสสิกและเป็นความ

พยายามครั้งสำคัญในการลดคณิตศาสตร์ทั้งหมดให้เป็นตรรกะ


ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 รัสเซลล์เป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่มีส่วนร่วมในกิจกรรมเพื่อความสงบสุข 

ในปีพ.ศ. 2459 จนถูกจำคุก


สงครามโลกครั้งที่สอง เขาสรุปว่าอดอล์ฟ ฮิตเลอร์เข้ายึดครองยุโรปทั้งหมดจะเป็นภัยคุกคาม

ต่อระบอบประชาธิปไตยอย่างถาวร ในปีพ.ศ. 2486



ในปี พ.ศ. 2493 รัสเซลล์ได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม "เพื่อยกย่องผลงานเขียนที่หลากหลาย

และสำคัญของเขา ซึ่งเขาสนับสนุนอุดมคติด้านมนุษยธรรมและเสรีภาพในการคิด" 


นอกจากนี้เขายังเป็นผู้รับรางวัลเหรียญ De Morgan (พ.ศ. 2475), เหรียญซิลเวสเตอร์ (พ.ศ. 2477), 

รางวัล Kalinga (พ.ศ. 2500) และรางวัลเยรูซาเลม (พ.ศ. 2506)


เขามีเกี่ยวกับจุดยืนต่อต้านนิวเคลียร์ของรัสเซลล์ในยุคหลังสงคราม ในฐานะนักวิทยาศาสตร์เพื่อสันติภาพ


รัสเซลล์เสียชีวิตด้วยโรคไข้หวัดใหญ่ หลังเวลา 20.00 น. ของวันที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2513 ที่บ้าน

ของเขาในเพนรินดีเดรธ วัย 97 ปี 

ร่างของเขาถูกเผาในอ่าวโคลวินเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2513 โดยมีคนอยู่ด้วย 5 คน 

ตามความประสงค์ของเขา ไม่มีพิธีทางศาสนาใด ๆ เว้นแต่ความเงียบหนึ่งนาที


เขามี รูปปั้นครึ่งตัวของรัสเซลล์ในจัตุรัสเรดไลออนในลอนดอน ซึ่งปั้นโดยมาร์แชล ควินตัน


เนื่องในโอกาสครบรอบหนึ่งร้อยปีวันเกิดของเขา ในเดือนพฤษภาคม 2022 หอจดหมายเหตุ 

Bertrand Russell ของมหาวิทยาลัย McMaster ซึ่งเป็นคอลเลกชันงานวิจัยที่ใหญ่ที่สุดและใช้

มากที่สุดของมหาวิทยาลัย 


ได้จัดนิทรรศการทั้งทางกายภาพและเสมือนจริงเกี่ยวกับจุดยืนต่อต้านนิวเคลียร์ของรัสเซลล์

ในยุคหลังสงคราม นักวิทยาศาสตร์เพื่อสันติภาพ :แถลงการณ์รัสเซลล์-ไอน์สไตน์ และการประชุม

 Pugwash ซึ่งรวมถึงแถลงการณ์รัสเซลล์-ไอน์สไตน์ฉบับแรกสุดด้วย


 มูลนิธิสันติภาพเบอร์ทรันด์ รัสเซลล์ จัดงานรำลึกที่คอนเวย์ฮอลล์ในจัตุรัสเรดไลออน ลอนดอน 

เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม ซึ่งเป็นวันครบรอบวันเกิดของเขา ในวันเดียวกันนั้น La Estrella de Panamá 

ได้ตีพิมพ์ภาพร่างชีวประวัติของ Francisco Díaz Montilla 

ซึ่งแสดงความคิดเห็นว่า "ถ้าเขา ต้องอธิบายลักษณะงานของรัสเซลล์ในประโยคเดียว เขา จะพูดว่า:

 การวิจารณ์และการปฏิเสธลัทธิคัมภีร์ "


มูจิบูร์ ราห์มาน ผู้นำคนแรกของบังกลาเทศ ตั้งชื่อลูกชายคนเล็กว่า ชีค รัสเซล เพื่อเป็นเกียรติแก่

เบอร์ทรานด์ รัสเซลล์



วันพฤหัสบดีที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567

บอริส เยลต์ซิน Boris Yeltsin ประธานาธิบดีคนแรกของสหพันธรัฐรัสเซีย

 


บอริส เยลต์ซิน Boris Yeltsin ประธานาธิบดีคนแรกของสหพันธรัฐรัสเซีย


บอริส นิโคลาเยวิช เยลต์ซิน เยลต์ซินเกิดที่เมืองบุตคา 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2474


บอริส เยลต์ซิน Boris Yeltsin


เป็นนักการเมืองโซเวียตและรัสเซีย ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีแห่งรัสเซียจาก พ.ศ. 2534 ถึง 2542 


เขาเป็น เป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์แห่งสหภาพโซเวียตตั้งแต่ปี พ.ศ. 2504 ถึง พ.ศ. 2533 


ต่อมาเขายืนหยัดเป็นอิสระทางการเมือง ซึ่งในช่วงเวลานั้นเขาถูกมองว่ามีอุดมการณ์ที่สอดคล้องกับ

ลัทธิเสรีนิยม


เขาเป็นประธานาธิบดีคนแรกของรัสเซียหลังจากการล่มสลายของสหภาพโซเวียต 


เรียนที่มหาวิทยาลัยเทคนิคแห่งรัฐอูราลเขาทำงานด้านการก่อสร้าง


เข้าร่วมพรรคคอมมิวนิสต์ 


ในปี 1976 เขาได้เป็นเลขาธิการคนที่หนึ่งของคณะกรรมการแคว้นสแวร์ดลอฟสค์ของพรรค


เป็นผู้สนับสนุนการปฏิรูปเปเรสทรอยกาของผู้นำโซเวียต มิคาอิล กอร์บาชอฟ


ในปี 1987 เขาเป็นคนแรกที่ลาออกจาก Politburo ของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งสหภาพโซเวียต


ในปี 1990 เขาได้รับเลือกเป็นประธานของสภาโซเวียตสูงสุดแห่งรัสเซีย


ในปี 1991 ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีของสาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตรัสเซีย (RSFSR)


และมีบทบาทสำคัญในการยุบสหภาพโซเวียตอย่างเป็นทางการ 


การล่มสลายของสหภาพโซเวียต RSFSR จึงกลายเป็นสหพันธรัฐรัสเซียซึ่งเป็นรัฐเอกราช


เยลต์ซินยังคงอยู่ในตำแหน่งประธานาธิบดี ต่อมาเขาได้รับเลือกอีกครั้งในการเลือกตั้งปี 1996 

ซึ่งนักวิจารณ์อ้างว่าทุจริตอย่างแพร่หลาย


เยลต์ซินมีหน้าที่รับผิดชอบในการเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจสังคมนิยมของรัสเซีย 


ยุคเยลต์ซินโดดเด่นด้วยการคอรัปชั่นที่มากเกินไปและแพร่หลาย อัตราเงินเฟ้อ การล่มสลายทางเศรษฐกิจ


ปัญหาทางการเมืองและสังคมขนาดมหึมาที่ส่งผลกระทบต่อรัสเซียและสาธารณรัฐอื่นๆ ของสหภาพโซเวียต 


เยลต์ซินเปลี่ยนระบบเศรษฐกิจแบบสั่งการของรัสเซียให้เป็นระบบเศรษฐกิจแบบตลาดทุน


ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ ผู้มีอำนาจจำนวนน้อยได้รับทรัพย์สินและความมั่งคั่ง

ของชาติเป็นส่วนใหญ่ ในขณะที่การผูกขาดระหว่างประเทศเข้ามาครอบงำตลาด


ในปี 1993 หลังจากที่เยลต์ซินสั่งยุบรัฐสภารัสเซียโดยไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ส่งผลให้รัฐสภาถอดถอนเขา


หลังจากกองทหารที่ภักดีต่อเยลต์ซินบุกโจมตีอาคารรัฐสภาและหยุดการจลาจลด้วยอาวุธเขาก็ได้ทำการ

 ขยายอำนาจของประธานาธิบดีอย่างมีนัยสำคัญ


เยลต์ซินปกครองประเทศด้วยพระราชกฤษฎีกาจนถึงปี 1994 


ความรู้สึกแบ่งแยกดินแดนในคอเคซัสของรัสเซียนำไปสู่สงครามเชเชนครั้งแรก สงครามดาเกสถาน 

และสงครามเชเชนครั้งที่สองระหว่างปี 1994 ถึง 1999


เยลต์ซินส่งเสริมความร่วมมือครั้งใหม่กับยุโรป และลงนามข้อตกลงควบคุมอาวุธกับสหรัฐอเมริกา

 ท่ามกลางแรงกดดันภายในที่เพิ่มมากขึ้น


เขาลาออกในปลายปี 1999 ตำแหน่งประธานาธิบดีต่อโดยวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้สืบทอดตำแหน่งที่เขาเลือก


เขาเก็บตัวไม่เป็นที่รู้จักหลังจากออกจากตำแหน่ง และได้รับการจัดพิธีศพแบบรัฐเมื่อเขาเสียชีวิตในปี 2007


เขามีทั้งเรื่องที่ได้รับคำชมอย่าง บทบาทของเขาในการรื้อสหภาพโซเวียต เปลี่ยนรัสเซียให้เป็น

ประชาธิปไตยแบบตัวแทน และนำเสนอเสรีภาพทางการเมือง เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมใหม่ๆ 

ให้กับประเทศ


แต่ก็มีโดนต่อว่าหนักๆอย่างเช่น การจัดการทางเศรษฐกิจที่ผิดพลาด การทุจริต และการทำให้รัสเซีย

ในฐานะมหาอำนาจสำคัญของโลก ดูอ่อนแอลง


เยลต์ซินเสียชีวิตด้วยภาวะหัวใจล้มเหลว เมื่อวันที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2550 อายุ 76 ปี


เขาถูกฝังในสุสานโนโวเดวิชีเมื่อวันที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2550 เยลต์ซินเป็นประมุขแห่งรัฐรัสเซียคนแรก

ในรอบ 113 ปีที่ถูกฝังในพิธีในโบสถ์ ต่อจากจักรพรรดิอเล็กซานเดอร์ที่ 3


วลาดิเมียร์ ปูติน, บิล คลินตัน และจอร์จ เอช. ดับเบิลยู บุช ปรากฏตัวที่งานศพของเยลต์ซินประธานาธิบดี

ปูตินได้ประกาศให้วันงานศพของเขาเป็นวันไว้ทุกข์แห่งชาติ โดยลดธงชาติลงครึ่งเสา 


เขายังเป็นผู้นำคนแรกในประวัติศาสตร์รัสเซียและโซเวียตที่เสียชีวิตในวัยเกษียณ หลังจากโอนอำนาจ

อย่างสันติให้กับผู้สืบทอดของเขา


งานศพของเขาถ่ายทอดสดทางสถานีโทรทัศน์ของรัฐทุกแห่ง