หน้าเว็บ

วันอาทิตย์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2568

สมเด็จพระราชาธิบดีเฟอร์ดินานด์ที่ 1 แห่งโรมาเนีย (Ferdinand I of Romania)

 


สมเด็จพระราชาธิบดีเฟอร์ดินานด์ที่ 1 แห่งโรมาเนีย (Ferdinand I of Romania)


สมเด็จพระราชาธิบดีเฟอร์ดินานด์ที่ 1 แห่งโรมาเนีย (Ferdinand I of Romania) 

ทรงเป็นพระมหากษัตริย์แห่งราชอาณาจักรโรมาเนียระหว่างปี ค.ศ. 1914 ถึง 1927 

และเป็นหนึ่งในบุคคลสำคัญที่มีบทบาทอย่างมากในการรวมชาติและพัฒนาโรมาเนีย

ในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง


🏰 พระราชประวัติ


พระราชสมภพ: 24 สิงหาคม ค.ศ. 1865 ณ เมืองซิกมาริงเงิน ประเทศเยอรมนี


ราชวงศ์: โฮเอินท์ซ็อลเลิร์น-ซีคมาริงเงิน


พระราชบิดา: เจ้าชายลีโอพ็อลท์แห่งโฮเอินท์ซ็อลเลิร์น


พระราชมารดา: อินฟันตาอังตอนีอาแห่งโปรตุเกส


คู่อภิเษก: เจ้าหญิงมารีแห่งเอดินบะระ (พระราชธิดาของเจ้าชายอัลเฟรด ดยุกแห่งเอดินบะระ)


🛡️ พระราชกรณียกิจสำคัญ


ทรงนำโรมาเนียเข้าร่วมฝ่ายสัมพันธมิตรในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง


ทรงมีบทบาทสำคัญในการรวมดินแดนทรานซิลเวเนีย, เบสซาราเบีย และบูโควินา เข้ากับโรมาเนีย


ทรงได้รับการขนานนามว่า “Ferdinand the Loyal” เนื่องจากทรงยึดมั่นในคำมั่นสัญญาต่อพันธมิตร 


แม้ราชวงศ์ของพระองค์จะมีสายสัมพันธ์กับเยอรมนี


พระเจ้าเฟอร์ดินานด์ที่ 1 แห่งโรมาเนียทรงมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง


โดยเฉพาะในด้านการตัดสินใจเชิงยุทธศาสตร์และการนำพาประเทศเข้าสู่สงครามในช่วงเวลาสำคัญ


ของประวัติศาสตร์ยุโรป



บทบาทของพระองค์ในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง


การเข้าร่วมฝ่ายสัมพันธมิตร: แม้พระองค์จะทรงมีเชื้อสายเยอรมันจากราชวงศ์โฮเอินท์ซ็อลเลิร์น 


แต่พระองค์ทรงตัดสินใจนำโรมาเนียเข้าร่วมกับฝ่ายสัมพันธมิตร (อังกฤษ ฝรั่งเศส รัสเซีย) 


ในปี ค.ศ. 1916 เพื่อแลกกับคำมั่นว่าจะได้รับดินแดนทรานซิลเวเนีย ซึ่งขณะนั้นอยู่ภายใต้


การปกครองของออสเตรีย-ฮังการี.



การทรงงานเพื่อรวมชาติ: พระราชาเฟอร์ดินานด์ทรงเห็นโอกาสในการรวมดินแดนที่มีชาวโรมาเนียอาศัยอยู่ 


เช่น เบสซาราเบีย, บูโควินา และทรานซิลเวเนีย เข้ากับราชอาณาจักรโรมาเนีย ซึ่งกลายเป็นจริง


หลังสงครามสิ้นสุดในปี ค.ศ. 1918.


พระราชดำริที่กล้าหาญ: การตัดสินใจเข้าร่วมสงครามกับฝ่ายตรงข้ามของประเทศต้นกำเนิดของพระองค์ (เยอรมนี) 


ทำให้พระองค์ได้รับสมญานามว่า “Ferdinand the Loyal” เนื่องจากทรงยึดมั่นในคำมั่นสัญญาต่อพันธมิตร 


แม้จะขัดแย้งกับสายเลือดของพระองค์เอง.


การสนับสนุนกองทัพ: แม้พระองค์จะไม่ได้ทรงบัญชาการรบโดยตรง แต่พระองค์ทรงมีบทบาทในการ


สนับสนุนกองทัพและการจัดการภายในประเทศเพื่อให้พร้อมรับมือกับสงคราม


หลังสงครามสิ้นสุด โรมาเนียได้รับดินแดนเพิ่มขึ้นอย่างมาก และกลายเป็น “Greater Romania” 


ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ถือว่าเป็นยุคทองของการรวมชาติและความเจริญรุ่งเรืองทางวัฒนธรรมและการเมืองของประเทศ


การรวมชาติของโรมาเนียหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่งในปี ค.ศ. 1918 ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่นำไปสู่การก่อตั้ง 


"Greater Romania" ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่โรมาเนียมีอาณาเขตกว้างใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ 


และส่งผลกระทบทั้งในด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมอย่างลึกซึ้ง


1. การขยายอาณาเขต

โรมาเนียได้รับดินแดนใหม่ ได้แก่ ทรานซิลเวเนีย, เบสซาราเบีย, และ บูโควินา ซึ่งเคยอยู่

ภายใต้การปกครองของออสเตรีย-ฮังการีและรัสเซียการรวมดินแดนเหล่านี้ทำให้โรมาเนีย

มีประชากรหลากหลายเชื้อชาติ เช่น ฮังการี, ยูเครน, เยอรมัน และยิว


2. การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง

ต้องจัดระบบการปกครองใหม่เพื่อรวมดินแดนที่มีประวัติศาสตร์และกฎหมายต่างกัน

เกิดความตึงเครียดระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ โดยเฉพาะในทรานซิลเวเนียที่มีชาวฮังการีจำนวนมาก


3. การพัฒนาเศรษฐกิจ

ดินแดนใหม่มีทรัพยากรธรรมชาติและพื้นที่เกษตรกรรมที่อุดมสมบูรณ์

แต่การรวมเศรษฐกิจที่แตกต่างกันเข้าด้วยกันต้องใช้เวลาและการปรับตัวอย่างมาก


4. การสร้างอัตลักษณ์ชาติ

รัฐบาลพยายามส่งเสริมความเป็น “โรมาเนีย” ผ่านการศึกษา ภาษา และวัฒนธรรม

นำไปสู่ความขัดแย้งกับกลุ่มชนกลุ่มน้อยที่รู้สึกถูกกดทับทางวัฒนธรรม


5. การเปลี่ยนแปลงในเวทีระหว่างประเทศ

โรมาเนียกลายเป็นประเทศที่มีอิทธิพลมากขึ้นในยุโรปตะวันออก

ได้รับการยอมรับจากมหาอำนาจในสนธิสัญญาสันติภาพ เช่น สนธิสัญญาทรีอานง (Trianon Treaty)



ในช่วงหลายปีหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 โรมาเนียได้เผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่หลายครั้ง 

โดยเฉพาะอย่างยิ่งผ่านการปฏิรูปที่ดินและสิทธิในการออกเสียงเลือกตั้งทั่วไป ในปี ค.ศ. 1925 

เจ้าชายคาโรล พระโอรสองค์โตของพระเจ้าเฟอร์ดินานด์ ได้ทรงสละสิทธิในราชบัลลังก์โรมาเนีย

ซึ่งก่อให้เกิดวิกฤตการณ์ทางราชวงศ์ พระเจ้าเฟอร์ดินานด์ทรงขับไล่พระเจ้าคาร์โรลออกจากราชวงศ์โรมาเนีย 

และทรงแต่งตั้งพระราชโอรส คือ ไมเคิล ขึ้นเป็นมกุฎราชกุมาร สภาผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ 

ซึ่งประกอบด้วย เจ้าชายนิโคไล พระสังฆราชมิรอน คริสเตียแห่งโรมาเนีย และประธานศาลฎีกา จอร์จี บุซดูกัน



เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม ค.ศ. 1927 พระเจ้าเฟอร์ดินานด์ที่ 1 สิ้นพระชนม์ด้วยโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่


ที่เมืองซินายา ขณะมีพระชนมายุ 61 พรรษา พระองค์ทรงถูกฝังที่มหาวิหารคูร์เทีย 


พระราชนัดดาองค์โตของพระองค์ คือ มิคาเอลที่ 1 ได้ขึ้นครองราชย์แทนพระองค์









วันเสาร์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2568

ลินดอน บี. จอห์นสัน Lyndon Baines Johnson หรือ LBJ

 


ลินดอน บี. จอห์นสัน  Lyndon Baines Johnson หรือ LBJ


ลินดอน เบนส์ จอห์นสัน (Lyndon B. Johnson หรือ LBJ) 


และรองประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาคนที่ 37 ในสมัยจอห์น เอฟ. เคนเนดี


เป็นเดโมแครตจากรัฐเท็กซัส เคยดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร


ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1937 ถึง 1949 และวุฒิสภาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1949 ถึง 1961


เป็นประธานาธิบดีคนที่ 36 ของสหรัฐอเมริกา ดำรงตำแหน่งระหว่างปี ค.ศ. 1963 ถึง 1969


เกิด: 27 สิงหาคม ค.ศ. 1908 ที่รัฐเท็กซัส


เสียชีวิต: 22 มกราคม ค.ศ. 1973 ด้วยอาการหัวใจวาย


พรรคการเมือง: พรรคเดโมแครต


คู่สมรส: เลดีเบิร์ด จอห์นสัน


เส้นทางการเมือง


สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ (1937–1949)


วุฒิสมาชิกจากรัฐเท็กซัส (1949–1961)


ผู้นำเสียงข้างมากในวุฒิสภา (1955–1961)


รองประธานาธิบดีคนที่ 37 (1961–1963) ภายใต้ประธานาธิบดีจอห์น เอฟ. เคนเนดี


ประธานาธิบดีคนที่ 36 (1963–1969) หลังการลอบสังหารเคนเนดี


ผลงานสำคัญ


กฎหมายสิทธิพลเมือง (Civil Rights Act) ปี 1964: ยุติการแบ่งแยกเชื้อชาติในสถานที่สาธารณะ


โครงการ Great Society: มุ่งเน้นการลดความยากจนและส่งเสริมการศึกษา


Medicare และ Medicaid: ระบบประกันสุขภาพสำหรับผู้สูงอายุและผู้มีรายได้น้อย


สงครามเวียดนาม: ขยายบทบาทของสหรัฐในสงครามอย่างมาก ซึ่งส่งผลให้คะแนนนิยมลดลง


จอห์นสันลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาในปี ค.ศ. 1960 แต่ไม่ประสบความสำเร็จ 


แต่ต่อมาได้รับเลือกจากจอห์น เอฟ. เคนเนดี ผู้สมัครจากพรรคเดโมแครตและวุฒิสมาชิกรัฐแมสซาชูเซตส์


ให้เป็นคู่หู ทั้งสองเอาชนะริชาร์ด นิกสัน ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจากพรรครีพับลิกัน


อย่างหวุดหวิดในการเลือกตั้งทั่วไป และจอห์นสันได้เข้ารับตำแหน่งรองประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา


เมื่อวันที่ 20 มกราคม ค.ศ. 1961 ในวันที่ 22 พฤศจิกายน ค.ศ. 1963


เคนเนดีถูกลอบสังหาร จอห์นสันสืบทอดตำแหน่งประธานาธิบดีต่อจากเขา และได้รับการเลือกตั้ง


อีกครั้งในการเลือกตั้งประธานาธิบดีปี ค.ศ. 1964 โดยเอาชนะแบร์รี โกลด์วอเตอร์ 


ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจากพรรครีพับลิกันและวุฒิสมาชิกรัฐแอริโซนา


จอห์นสันเสนอกฎหมาย ส่งเสริมสิทธิพลเมือง การกระจายเสียงสาธารณะ 


การดูแลสุขภาพของรัฐบาลกลาง เมดิเคด วามช่วยเหลือด้านการศึกษา ศิลปะ การพัฒนาเมือง


และชนบท บริการสาธารณะ และ "สงครามต่อต้านความยากจน"


เศรษฐกิจได้ยกระดับชาวอเมริกันหลายล้านคนให้หลุดพ้นจากความยากจน


ได้ปฏิรูประบบตรวจคนเข้าเมืองของสหรัฐอเมริกา โดยยกเลิกระบบโควต้าผู้อพยพ


ตามเชื้อชาติ และนำระบบที่อิงตามชาติกำเนิดมาใช้


มีส่วนร่วมของสหรัฐอเมริกาในสงครามเวียดนามค่อยๆ เพิ่มสูงขึ้น รัฐสภาสหรัฐฯ


ได้ผ่านมติอ่าวตังเกี๋ย ซึ่งให้อำนาจจอห์นสันในการใช้กำลังในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้


โดยไม่ต้องประกาศสงคราม


ความไม่พอใจต่อสงครามนำไปสู่การเคลื่อนไหวต่อต้านสงครามขนาดใหญ่


ทั้งในมหาวิทยาลัยและต่างประเทศของอเมริกาและกลุ่มต่อต้านสงคราม


ได้วิพากษ์วิจารณ์จอห์นสันซึ่งส่งผลให้คะแนนนิยมลดลง จอห์นสันพ่ายแพ้อย่างย่อยยับในการเลือกตั้งขั้นต้น


ของพรรคเดโมแครตในปี 1968 ที่รัฐนิวแฮมป์เชียร์ ทำให้เขาต้องถอนตัวจากการเลือกตั้งใหม่ 


ต่อมาริชาร์ด นิกสัน ผู้สมัครจากพรรครีพับลิกัน ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดี


จอห์นสันพ้นจากตำแหน่งในเดือนมกราคม 1969 และกลับไปใช้ชีวิตที่ฟาร์มปศุสัตว์ในรัฐเท็กซัส


ตลอดชีวิตที่เหลือ เขาเสียชีวิตด้วยอาการหัวใจวายเมื่อวันที่ 22 มกราคม 1973 ขณะมีอายุได้ 64 ปี